วันอังคารที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2551

ตัวชี้วัดความสำเร็จของการดำเนินนโยบายและยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคงของประเทศ

ในทัศนะของผู้เขียน ความมั่นคงของประเทศประกอบด้วยความมั่นคงในด้านต่างๆ จำนวน 10 ด้าน ซึ่งได้กล่าวไว้ในเรียงความความฉบับที่ 2 แต่เพื่อให้การวิเคราะห์ตัวชี้วัดความสำเร็จของการดำเนินนโยบายและยุทธศาสตร์ในบทความนี้ สอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 10 (พ.ศ.2550-2554) ผู้เขียนจึงได้รวมกลุ่มเป็นความมั่นคงใหม่เป็น 8 ด้าน ได้แก่

1. ความมั่นคงทางด้านการเมือง
2. ความมั่นคงทางด้านเศรษฐกิจ
3. ความมั่นคงทางด้านสังคม
4. ความมั่นคงทางด้านการทหาร
5. ความมั่นคงทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
6. ความมั่นคงทางด้านพลังงาน
7. ความมั่นคงทางด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
8. ความมั่นคงทางด้านวิทยุ โทรทัศน์ โทรคมนาคม และการสื่อสาร
ความสำเร็จของการดำเนินนโยบายด้านความมั่นคงของประเทศ ผูกโยงอยู่กับตัวชี้ความวัดความสำเร็จของการดำเนินนโยบายด้านความมั่นคงทั้ง 8 ด้านที่กล่าวมา ซึ่งหากแต่ละด้านมีระดับความสำเร็จหรือความล้มเหลว ก็จะส่งผลถึงระดับความมั่นคงของประเทศในภาพรวมไปด้วย ดังนั้น ผู้เขียนจึงพยายามค้นคว้าและแยกแยะตัวชี้วัดความสำเร็จของการดำเนินนโยบายและยุทธศาสตร์ในแต่ละด้าน ตามทัศนะของผู้เขียน โดยใช้เอกสารอ้างอิงหลัก คือ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 10 (พ.ศ.2550-2554) สรุปโดยสังเขป ได้ดังนี้

ตัวชี้วัดของการดำเนินนโยบายและยุทธศาสตร์ความมั่นคงทางด้านการเมือง1. ร้อยละของประชาชนที่มาใช้สิทธิเลือกตั้งทั้งระดับท้องถิ่น และระดับประเทศ
2. ความมีเสถียรภาพของรัฐบาล ระบบรัฐสภา และระบบพรรคการเมือง
3. กระบวนการการมีส่วนร่วมของประชาชน
4. ผลการประเมินการพัฒนาระบบราชการในด้านต่างๆ ตามพระราชกฤษฎีกาว่าด้วย หลักและวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ.2546
5. ความสามารถในการกระจายอำนาจไปยังส่วนภูมิภาค และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
6. ความสามารถของภาคเอกชนที่เข้ามีบทบาทในการพัฒนาประเทศร่วมกับภาครัฐ
7. การจัดอันดับธรรมาภิบาลภาคเอกชนของสถาบันจัดอันดับ IMD ในด้านความรับผิดชอบในด้านสังคม การให้ความสำคัญต่อลูกค้า การปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลง ความน่าเชื่อถือของผู้บริหาร ความสามารถของผู้บริหารในการสร้างมูลค่าให้แก่ผู้ถือหุ้น ความสัมพันธ์ระหว่างผู้บริหารและพนักงาน ความโปร่งใสและความเป็นธรรม
8. ความเชื่อมั่นองค์กรอิสระในการตรวจสอบการใช้อำนาจของรัฐ
9. ความสามารถในการบริหารจัดการและกระบวนการยุติธรรม
10. ความสำเร็จของการบังคับใช้กฏหมาย
11. ความสามารถในการถ่วงดุลนอกภาครัฐของกลไกต่างๆ เช่น สื่อมวลชน องค์พัฒนาเอกชน ภาคนักวิชาการ/วิชาชีพ
12. ดัชนีชี้วัดความโปร่งใสในการบริหารจัดการภาครัฐ เช่น ดัชนีชี้วัดภาพลักษณ์คอร์รัปชั่น (Corruption Perception Index : CPI) โดยองค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ (Transparency International : TI) และมหาวิทยาลัยกอตทิงเกน ประเทศเยอรมันนี
13. ตัวเลขการจัดอันดับความโปร่งใสของภาครัฐ โดย World Economic Forum
14. จำนวนข้าราชการต่อปริมาณงาน
15. ความสามารถของการศึกษาวิจัย พัฒนาองค์ความรู้ในด้านวัฒนธรรมประชาธิปไตย วัฒนธรรมธรรมาภิบาล และวัฒนธรรมสันติวิธี
16. จำนวนและความถี่ของกลุ่มประชาชนที่ชุมนุมเรียกร้องในเรื่องต่างๆ

ตัวชี้วัดของการดำเนินนโยบายและยุทธศาสตร์ความมั่นคงทางด้านเศรษฐกิจ1. จำนวนการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ เพื่อสร้างความร่วมมือทางการค้าและการลงทุน ทั้งในระดับทวิภาคี ภูมิภาค และพหุภาคี
2. อัตราเฉลี่ยการขยายตัวทางเศรษฐกิจต่อปี
3. รายได้ต่อหัวต่อปีของประชากร และรายได้ต่อหัวต่อปีที่คำนวณในรูปของกำลังซื้อที่แท้จริง
4. อัตราว่างงานของประชากร
5. มูลค่าการส่งออกและนำเข้าในตลาดโลก
6. สัดส่วนภาคเศรษฐกิจในประเทศต่อภาคการค้าระหว่างประเทศ
7. สัดส่วนภาคการผลิตเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร
8. สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ
9. สัดส่วนการใช้ตราสารหนี้ระดมทุนของภาคเอกชน
10. ทุนสำรองเงินตราระหว่างประเทศ
11. หนี้สินต่างประเทศ
12. อัตราเงินเฟ้อทั่วไป
13. อัตราเงินฟืด
14. ดัชนีต่างๆ ในตลาดหลักทรัพย์
15. ดุลการค้าและดุลบัญชีเดินสะพัด
16. อัตราการลงทุนของชาวต่างชาติในประเทศไทย
17. ผลการดำเนินธุรกรรมของกองทุนบริหารความเสี่ยงของชาวต่างชาติ(Hedge Fund)
18. ฐานะการลงทุนระหว่างประเทศสุทธิของประเทศไทย (International investment position : IIP)
19. สัดส่วนการออมรวมของประเทศ
20. สัดส่วนรายได้ของกลุ่มที่มีรายได้สูงสุด
21. สัดส่วนผลผลิตของวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ
22. กำลังแรงงานระดับกลางที่มีคุณภาพ
23. ค่าเฉลี่ยระดับการศึกษาของแรงงานไทย
24.อันดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยกับประเทศต่างๆ ทั่วโลก โดยสถาบันต่างๆ อาทิ สถาบันนานาชาติเพื่อการพัฒนาการจัดการ (Institute for Management Develop : IMD)
25. ค่าดัชนีเศรษฐกิจฐานความรู้ (Knowledge Economy Index ; KEI) โดยธนาคารโลก
26.สัดส่วน จำนวนของธนาคารและสถาบันการเงินของชาวต่างชาติ กับ จำนวนของธนาคารและสถาบันการเงินที่เป็นของประเทศไทย
27.อัตราการเติบโต และจำนวนร้อยละของผลิตภาพการผลิตภาคต่างๆ ได้แก่ ภาคการเกษตร ภาคอุตสาหกรรม ภาคการก่อสร้าง ภาคการค้าส่งและค้าปลีก ภาคการผลิตเหมืองแร่ การการไฟฟ้าและประปา ภาคการเงินและธนาคาร ภาคบริการและอื่นๆ
28. สัดส่วนการนำเข้าของวัตถุดิบ ชิ้นส่วน พลังงาน เงินทุน และเทคโนโลยี ต่อผลิตภาพการผลิต
29. สัดส่วนการนำเข้าวัตถุดิบและสินค้าทุนต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ
30. สัดส่วนรายจ่ายค่ารอแยลตี้และค่าธรรมเนียมใบอนุญาต ต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ
31. การมีธรรมาภิบาลภาคเอกชน
32. ร้อยละของครอบครัวที่ไม่มีความสามารถพึ่งตนเองทางเศรษฐกิจ
33. อัตราการเข้ามาทำงานในประเทศไทยของชาวต่างชาติ
34. จำนวนวิสาหกิจชุมชน และเครือข่ายวิสาหกิจชุมชน ที่จดทะเบียนใหม่และล้มเลิกกิจการ
35. จำนวนประชากรที่ยังอยู่ภายใต้เส้นความยากจน
36. อัตราการกระจายรายได้ ค่าดัชนีจีนี่ (Gini coefficient) ของประเทศไทย
37. จำนวนรายได้ของประชากร จากสินค้าหนึ่งผลิตภัณฑ์ หนึ่งตำบล
38. รายได้จากการท่องเที่ยวต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ
39. ส่วนแบ่งของตลาดนักท่องเที่ยวในโลก
40. ต้นทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านขนส่งและโลจิสติกส์ ต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ

ตัวชี้วัดของการดำเนินนโยบายและยุทธศาสตร์ความมั่นคงทางด้านสังคม
1. ดัชนีการวัดผลการพัฒนาคน (Human Development Index : HDI) ของ UNDP ที่วัดด้านสาธารณสุข การศึกษาและมาตรฐานความเป็นอยู่
2. ตัวเลขระดับการพัฒนาด้านต่างๆ ของประเทศไทยเทียบกับนานาประเทศ จากสถาบันต่างๆ อาทิ สถาบัน IMD WEF และ OECD ตัวเลขเหล่านี้ ได้แก่ จำนวนปีการศึกษาเฉลี่ยของคนไทย การประเมินเชิงคุณภาพการศึกษาที่สามารถตอบสนองต่อการแข่งขัน ประสิทธิภาพการผลิตของแรงงานไทย สัดส่วนบุคลากรทางการแพทย์ต่อประชากร
3. ผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาซึ่งประเมินจากค่าผลสะสมทางการศึกษา หรือระดับความรู้ทักษะในระดับสูงสุดของคนไทย โดยวัดจากจำนวนปีการศึกษาของคนไทย อัตราส่วนนักเรียนต่อประชากร อัตราการเข้าเรียนต่อในระดับมัธยมศึกษา อัตราส่วนนักเรียนอุดมศึกษาต่อประชากร ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนไทยที่วัดจากคะแนนเฉลี่ยของการทดสอบ 4 วิชาหลัก (ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ คณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์) ผลการวัดทักษะการอ่านของนักเรียนไทย
4. ค่าใช้จ่ายด้านสาธารณสุขและการดูแลผู้สูงอายุ
5. อายุคาดหมายเฉลี่ยของคนไทย
6. ร้อยละของประชากรที่อยู่ในระบบประกันสุขภาพ
7. อัตราการเจ็บป่วยโดยรวมของคนไทยต่อประชากร
8. อัตราการเจ็บป่วยด้วยโรคที่ป้องกันได้ เช่น โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวานโรคหลอดเลือดในสมอง โรคมะเร็ง
9. ภาวการณ์เจ็บป่วยจากโรคอุบัติใหม่และโรคระบาดซ้ำ เช่น โรคซาร์ส ไข้หวัดนก ไข้หวัดใหญ่ เป็นต้น
10. อัตราการลงทุนด้านสุขภาพของประเทศไทยต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ
11. จำนวนเครือข่ายชุมชนด้านอาหารและสุขภาพ
12. จำนวนแรงงานนอกระบบที่ยังไม่ได้รับความคุ้มครองทางสังคม
13. จำนวนประชากรกลุ่มคนยากจนและผู้ด้อยโอกาสที่สามารถเข้าถึงบริการทางสังคม เช่น การช่วยเหลือผู้สูงอายุที่ยากจน ผู้ป่วยเอดส์ยากไร้ ผู้พิการยากไร้ โอกาสทางการศึกษาแก่เด็กวัยเรียนจากครัวเรือนที่ยากจน การสร้างที่อยู่อาศัยให้ประชาชนผู้มีรายได้น้อย จำนวนประชากรในชุมชนแออัด
14. ตัววัดความเสี่ยงที่คนไทยต้องเผชิญในด้านความปลอดภัยในชีวิต และทรัพย์สินและการก่อความไม่สงบในสังคม เช่น สัดส่วนต่อประชากร เกี่ยวกับคดียาเสพติด คดีอาชญากรรม คดีการประทุษร้ายต่อทรัพย์สิน คดีต่อชีวิตร่างกายและเพศ คดีเกี่ยวกับเด็กและเยาวชน นอกจากนั้นในด้านของปัญหาอุบัติภัยและภัยพิบัติ อาจวัดได้จาก อัตราการตายด้วยอุบัติเหตุการจราจร อัตราการเกิดและความสูญเสียจากภัยพิบัติและอุบัติภัยอื่นๆ ส่วนปัญหาการก่อความไม่สงบในสังคม อาจวัดได้จาก ปัญหาการก่อความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ปัญหาการก่อการร้ายและอาชญากรรมข้ามชาติ ปัญหาผู้ลักลอบเข้าเมืองมาใช้แรงงานและแสวงประโยชน์ทางเพศ
15. จำนวนงบประมาณของประเทศในแผนงานป้องกันและควบคุมอาชญากรรม

ตัวชี้วัดของการดำเนินนโยบายและยุทธศาสตร์ความมั่นคงทางด้านการทหาร1. อำนาจกำลังรบเปรียบเทียบระหว่างกองทัพไทยและกองทัพของประเทศเพื่อนบ้าน
2. สัดส่วนงบประมาณที่กองทัพไทยได้รับจากงบประมาณรายจ่ายประจำปี
3. ความสามารถในการพัฒนาเทคโนโลยีทางทหารของกองทัพ
4. ความสามารถในการพัฒนากำลังคนของกองทัพ
5. ความสามารถในการบริหารนโยบายต่างๆ ด้านความมั่นคง
6. จำนวนอาวุธยุทโปกรณ์ที่จัดหาเพิ่มเติม
7. ทัศนคติของประชาชนที่มีต่อกองทัพ
8. ค่าความเชื่อมั่นของประชาชนที่มีต่อกองทัพ

ตัวชี้วัดของการดำเนินนโยบายและยุทธศาสตร์ความมั่นคงทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี1. การจัดอันดับขีดความสามารถทางวิทยาศาสตร์ของประเทศไทย
2. ร้อยละของการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ
3. ร้อยละของกำลังคนด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ทำงานด้านการออกแบบและการวิจัยและพัฒนา
4. อัตราส่วนบุคลากรด้านการวิจัยและพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศต่อประชากร
5. อัตราความก้าวหน้าของเทคโนโลยีหลัก ได้แก่ เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เทคโนโลยีชีวภาพ เทคโนโลยีวัสดุ และนาโนเทคโนโลยี
6. จำนวนบทความด้านวิทยาศาสตร์ของไทยที่เผยแพร่ในระดับสากล
7. จำนวนการจดสิทธิบัตรในประเทศไทยของคนไทย
8. สัดส่วนคอมพิวเตอร์ต่อประชากร
9. อัตราการเข้าถึงเครือข่ายอินเตอร์เน็ตต่อประชากร
10. อัตราส่วนบุคลากรด้านการวิจัยและพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศต่อประชากร

ตัวชี้วัดของการดำเนินนโยบายและยุทธศาสตร์ความมั่นคงทางด้านพลังงาน1. สัดส่วนการนำเข้าพลังงานจากนอกประเทศ
2. สัดส่วนของการใช้พลังงานประเภทต่างๆ
3. สัดส่วนการใช้พลังงานทดแทนพลังงานเดิม
4. สัดส่วนการใช้พลังงานเชิงพาณิชย์
5. สัดส่วนการใช้พลังงานหมุนเวียนต่อพลังงานทั้งหมด
6. สัดส่วนมูลค่าการใช้พลังงานขั้นสุดท้าย ต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ
7. สัดส่วนความยืดหยุ่นการใช้พลังงานเฉลี่ย
8. สัดส่วนการใช้พลังงานต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ
9. อัตราการใช้น้ำมันในภาคขนส่ง

ตัวชี้วัดของการดำเนินนโยบายและยุทธศาสตร์ความมั่นคงทางด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม1. อัตราการลดลงของพื้นที่ป่าไม้
2. อัตราการลดลงของป่าชายเลน
3. อัตราการลดลงของการจับสัตว์น้ำ เป็นกิโลกรัมต่อชั่วโมง
4. อัตราการลดลงของแหล่งปะการัง และหญ้าทะเล
5. อัตราการกัดเซาะพื้นที่ชายฝั่งทะเล
6. อัตราการสูญพันธ์ของพืชและสัตว์
7. คุณภาพอากาศเกินกว่าเกณฑ์มาตรฐาน บริเวณเขตอุตสาหกรรม บริเวณริมถนนในเขตกรุงเทพมหานคร
8. อัตราการขยายตัวของจำนวนรถยนต์สะสม
9. อัตราการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Carbon dioxide emissions)
10.ปริมาณกากของเสีย ทั้งขยะมูลฝอยและของเสียอันตราย
11. อัตราการผลิตขยะมูลฝอยในเขตเมือง
12. อัตราการนำของเสียมาใช้ใหม่
13. อัตราการผลิตและการนำเข้าสารอันตรายเพื่อใช้ในภาคเกษตรและอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น
14. ปริมาณน้ำจืดเฉลี่ยต่อคนต่อปีของประชากร
15. เกณฑ์การวัดคุณภาพน้ำ
16. จำนวนระบบบำบัดน้ำเสียในเขตเมือง และความสามารถในการบำบัด
17. ร้อยละของจำนวนที่ดินที่มีปัญหาต่อพื้นที่ทั้งหมด ในด้านปัญหาการชะล้างพังทลาย ดินขาดอินทรีย์ ดินเค็ม ดินเปรี้ยว เป็นต้น
18. เกณฑ์การวัดคุณภาพสิ่งแวดล้อม
19. จำนวนความหลากหลายทางชีวภาพ
20. ขีดความสามารถในการอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากร
21. จำนวนขององค์กรภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องการกับอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

ตัวชี้วัดของการดำเนินนโยบายและยุทธศาสตร์ความมั่นคงทางด้านวิทยุ โทรทัศน์ โทรคมนาคม และการสื่อสาร1. อัตราการเพิ่มขึ้นของการจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้ชุมชนเพื่อให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร
2. จำนวนสถานีวิทยุและโทรทัศน์ที่เป็นของภาคประชาชน
3. จำนวนช่องของสถานีโทรทัศน์ในประเทศที่ประชาชนสามารถเลือกดูได้โดยอิสระ
4. จำนวนดาวเทียมทุกประเภทที่เป็นของรัฐ
5. จำนวนคลื่นความถี่ต่างๆ ที่เป็นของรัฐ
6. จำนวนผู้ประกอบการที่ให้บริการโทรทัศน์ระบบบอกรับสมาชิก
7. ความสามารถในการเข้าถึงการสื่อสารรูปแบบต่างๆ ของประชาชน
8. สถิติการฟังรายการวิทยุ ประเภทต่างๆ ของประชากร
9. สถิติการชมรายการโทรทัศน์ ประเภทต่าง ๆ ของประชากร
10. สถิติการใช้อุปกรณ์การสื่อสาร ประเภทต่างๆ ของประชากร

ตัวชี้วัดความสำเร็จของการดำเนินนโยบายและยุทธศาสตร์ทั้ง 8 ด้านที่กล่าวมา ต้องเป็นข้อมูลเชิงคุณภาพ ที่ได้มาจากกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ มีเหตุมีผล ตามความเป็นจริง แต่ส่วนใหญ่ข้อมูลที่จัดทำโดยภาคราชการที่เกี่ยวข้องในเรื่องนั้นๆ มักจะจัดทำข้อมูลเท็จเพื่อแสดงผลงานของตนเองไปในเชิงบวก จึงทำให้ข้อมูลที่ได้รับ ไม่สามารถนำมาวิเคราะห์ถึงปัญหาที่ต้องแก้ไขได้อย่างตรงประเด็น

¯¯¯¯¯¯¯¯¯¯

อ้างอิง :
สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ. (2549). แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม
แห่งชาติ ฉบับที่ 10 (พ.ศ.2550-2554). กรุงเทพฯ : สำนักนายกรัฐมนตรี.

วันศุกร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2551

นายกสมัคร..ตีขิมบนกำแพง..เลียนแบบขงเบ้ง

วันนี้ ผมได้อ่านบทความที่ชื่อว่า "อุบายสมัคร ตีขิมในเมืองร้าง" ของคุณสิริอัญญา ในเว็บไซต์ผู้จัดการออนไลน์ ซึ่งท่านเขียนไว้เมื่อวันที่ 5 ก.ย.2551 และเผยแพร่บนเว็บไซต์เมื่อเวลา 02:11 น. ผมเห็นว่าเป็นบทความที่ดีมาก จึงขอถือวิสาสะกอบปี้มาไว้ในเว็บนี้ เพื่อจะได้ลองอ่านกัน และเกิดช่องทางการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันเพิ่มมากขึ้น บทความดังกล่าวมีเนื้อหา ดังต่อไปนี้

ในขณะที่สังคมไทยกำลังใจจดใจจ่อรอฟังข่าวนายสมัคร สุนทรเวช จะประกาศลาออก ก็ปรากฏว่านายสมัคร สุนทรเวช ได้แถลงข่าวผ่านทางช่อง 11 กรมประชาสัมพันธ์ยืนยันว่าไม่ยุบสภา ไม่ลาออก ด้วยท่าทีที่ปลอดโปร่งโล่งใจ และกลั้วหัวเราะเป็นระยะๆ การยืนยันว่าไม่ยุบสภา ไม่ลาออกนั้นไม่ใช่ของใหม่อะไร เพราะเพิ่งพูดย้ำแล้วย้ำอีกต่อเนื่องกันมาหลายครั้งแล้ว และไม่มีความจำเป็นอะไรที่ต้องออกมาแถลงเช่นนี้ ราวกับว่าเป็นเรื่องสำคัญและฉุกเฉิน

เหตุการณ์ขณะนี้ใครๆ ก็รู้ว่าตึงเครียด คับขัน ทั้งในคืนวันที่ 3 กันยายน 2551 ก็มีเหตุการณ์ที่ไม่ค่อยปกติ ถึงกับต้องส่งกองกำลังตำรวจไปคุ้มกันอารักขาอย่างแน่นหนา ราวกับว่าเตรียมทำการอะไรที่สำคัญอยู่ ในสถานการณ์เช่นนี้จึงไม่ใช่เรื่องที่ใครๆ ที่มีความคิดจิตใจปกติจะมีท่าทีปลอดโปร่งโล่งใจ หรือกลั้วหัวเราะอย่างครื้นเครงได้เลย

ตรงนี้จึงเป็นเรื่องที่น่าสังเกต น่าวิเคราะห์ว่าทำไมจึงเป็นไปเช่นนั้น พิเคราะห์แล้วก็ไม่ใช่เรื่องลึกซึ้งซับซ้อนอะไรนักหนา หากมันเป็นกลอุบายชนิดหนึ่งที่เรียกว่า “อุบายขงเบ้งตีขิมบนกำแพงเมืองร้าง”

มาดูกันว่า “อุบายขงเบ้งตีขิมบนกำแพงเมืองร้าง” นั้นเป็นอย่างไร?

เรื่องราวนี้เกิดขึ้นหลังพระเจ้าเล่าปี่สิ้นพระชนม์แล้ว ขงเบ้งกำราบปราบปรามกบฏภาคใต้เสร็จแล้ว จึงนำทัพเข้าตีแคว้นเว่ยเป็นครั้งแรก รุกลึกเข้าไปในดินแดนเว่ย จ่อใกล้เมืองหลวงเข้าไปทุกที สุมาอี้แม่ทัพใหญ่ฝ่ายเว่ยวางแผนรับพลางถอยกับกองทัพหน้าของขงเบ้ง แต่เคลื่อนกำลังพลส่วนใหญ่อ้อมตลบหลังไปยึดจุดยุทธศาสตร์เกเต๋ง
เมื่อสูญเสียเกเต๋งเส้นทางลำเลียงเสบียงอาหารและเส้นทางถอยของกองทัพขงเบ้ง ก็ตกอยู่ในกำมือของข้าศึก ทำให้การรุกของกองทัพใหญ่ส่วนหน้าต้องหยุดชะงักลง และจำเป็นต้องถอยทัพ การถอยทัพต้องใช้เส้นทางหลายเส้นทาง โดยขงเบ้งคุมทัพรั้งท้าย มีกำลังพลเพียงน้อยนิด และไปพักค้างอยู่ที่เมืองเล็กๆ เมืองหนึ่ง
สุมาอี้ทราบข่าวว่าขงเบ้งคุมกองหลังล่าถอยมาที่เมืองนี้ จึงยกกองทัพสิบหมื่นตามมา หมายจับเอาตัวขงเบ้งให้จงได้ สามก๊กระบุว่ากำลังพลเปรียบเทียบกันแล้วขงเบ้งเสียเปรียบกองทัพสุมาอี้เป็นอันมาก ดังหนึ่งจะเหยียบเมืองเสีย
ขงเบ้งเข้าตาคับขัน หนีก็ไม่ทัน สู้ก็ไม่ได้ จึงจำใช้อุบายเมืองร้าง สั่งให้เปิดประตูเมืองทั้งสี่ด้าน ให้คนแก่และทหารสิบสี่สิบห้าคนออกไปทำทีกวาดขยะที่หน้าประตูเมือง ขงเบ้งแต่งตัวแบบนักพรตในลัทธิเต๋า สวมเสื้อคลุมสีน้ำเงิน ขึ้นไปนั่งตีขิมบนกำแพงเมือง มีเด็กน้อยสองคน คนหนึ่งถือธงสุริยัน อีกคนหนึ่งถือธงจันทรา ตั้งกระถางธูปใหญ่ จุดธูปใหญ่ปักไว้สามดอกบนโต๊ะข้างหน้า ถัดมาเป็นเตาเผากำยาน ควันกำยานพวยพุ่งโชยกลิ่นหอมเย็นลึกลับ
กองทัพหน้าสุมาอี้เคลื่อนมาถึงแล้วเห็นเหตุการณ์เช่นนั้นก็ชะงักอยู่ในระยะห่างประตูเมือง สุมาอี้ขี่ม้ามาถึงกองหน้าแล้วออกไปยืนพินิจพิเคราะห์ดู เห็นเหตุการณ์เช่นนั้นก็รำลึกถึงกลในพิชัยสงครามที่ว่า น้อยแกล้งทำเป็นมาก มากแกล้งทำเป็นน้อย ไม่มีแสร้งทำเป็นมี มีแสร้งทำเป็นไม่มีแล้ว ก็คิดว่าขงเบ้งคงซุ่มทหารแล้วลวงให้รุกตีเข้าไปในเมือง จึงแสร้งทำเป็นไม่มีทหาร
แต่ก็ฉุกคิดได้ว่าในเมืองอาจไม่มีทหารเลย ขงเบ้งจึงแสร้งทำอุบาย คิดดังนั้นแล้วสุมาอี้จึงจ้องเขม็งมองไปที่เด็กสองคนซึ่งถือธงสุริยัน-จันทราอยู่ข้างขงเบ้งก็สะท้านขึ้นในใจ ว่าธงสุริยัน-จันทรานั้นเป็นธงสำคัญสำหรับให้สัญญาณบัญชาการทัพว่าบุกหรือถอย อยู่ในระยะแค่ขงเบ้งเอื้อมมือหยิบมาให้สัญญาณให้ทหารเข้าตีเท่านั้น ใจก็ประหวั่นกลับไปคิดว่าขงเบ้งเตรียมธงสัญญาณให้ทหารเข้าตี จึงลังเลอยู่ สุมาอี้พินิจดูเสื้อคลุมของขงเบ้งก็คำนึงว่านักพรตในลัทธิเต๋าสวมเสื้อคลุมชุดขาวในการปฏิบัติธรรม แต่ขงเบ้งกลับสวมเสื้อคลุมสีน้ำเงินซึ่งเป็นสีแห่งความล้ำลึก เมื่อประสานกับควันกำยานที่พวยพุ่งออกมาแล้ว ดูประหนึ่งแฝงไว้ด้วยเงาของการรบราฆ่าฟันอยู่ในที
สุมาอี้เป็นผู้เชี่ยวชาญการดนตรีชั้นเลิศของแคว้นเว่ย จึงใคร่หยั่งความมั่นคงในใจของขงเบ้งว่ามีความมั่นคงหรือหวั่นไหวประการใด จึงทำสมาธิจิตสดับฟังเสียงขิมที่ขงเบ้งบรรเลงนั้น เพราะแม้จิตใจคนจะหยั่งยาก แต่อาจสะท้อนออกมาได้จากคำพูด กิริยาอาการว่าลุกลี้ร้อนรนหรือไม่ประการใด
สามก๊กฉบับคนขายชาติของเรืองวิทยาคมระบุว่า สุมาอี้สดับฟังเสียงเพลงนั้นแล้วก็รู้สึกว่า “เป็นท่วงทำนองที่สะท้อนถึงจิตใจของผู้เล่นพิณว่ามีความเบิกบานมั่นอกมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม ทำนองเพลงรื่นไหลดุจดังกระแสน้ำ ไม่มีติดขัด จังหวะเบาไร้ร่องรอยดุจดังสายลมพัด จังหวะหนักก็หนักหน่วงดุจขุนเขาถล่มทลาย หาใช่จิตใจของผู้ที่มีความหวั่นเกรงหรือสะทกสะท้านแต่ประการใดไม่”
สุมาอี้ฟังทำนองเป็นเสียงเพลงว่า
“สายธารไหลรี่รวมลงสู่ทะเลกว้าง พระสมุทรเวิ้งว้างราบเรียบไร้คลื่นลม ฝูงปลาน้อยว่ายแหวกชวนชม ท้องน้ำล้ำลึกดำมืดราวคืนแรม ภูเขาสูงตระหง่านเสียดแทงเมฆ ความวิเวกแผ่คลุมปลายฤดูหนาว มวลพฤกษาผลิใบแทนใบที่ร่วงราว ผีเสื้อหลากสีสันเริงร่าท้าทาย ชาวนาแบกไถจูงโคคืนเคหา เหลาสุราเปล่งเสียงเจ้งครื้นเครงครัน เสียงสวดมนต์บ่นพร่ำพระธรรมแว่วมา ฟากฟ้าประจิมประกายแสงแดงจ้า สรรพสิ่งหมุนเวียนไปไร้เงื่อนปม สายลมแผ่วโชยมายากหารอยต่อ สำเนียงพิณห่อนสิ้นเพลงเคล้าคลอ เมฆฝนก่อเค้ามางามตาเอย”
สุมาอี้ฟังความจากเสียงเพลงก็ยิ่งสะดุ้งใจ เพราะบทเพลงที่ว่าพระสมุทรอันกว้างใหญ่ ไหนเลยจะไร้คลื่นลม ท้องน้ำอันยากหยั่ง ไหนเลยจะมีแต่ปลาน้อย จึงน่าจะมีมฤตยูใต้ห้วงน้ำลึกแอบแฝงอยู่ เสียงเพลงยังพยายามปิดงำความอันยิ่งใหญ่ไว้อีกว่า ในพงพฤกษา ไหนเลยจะมีแค่ผีเสื้อหลากสีสัน ย่อมต้องมีฝูงนกป่านานาพันธุ์ เมื่อไร้นกป่าก็น่าจะมีการซุ่มทหารไว้ นกป่าจึงหลีกหนีไปสิ้น เพลงพิณตอนสุดท้ายบ่งบอกว่ายามสันติ ผู้คนทำมาหากินตามปกติสุข ผู้ใฝ่ธรรมพร่ำท่องมนต์ภาวนา แต่ฟากฟ้าไยมีสีโลหิตเจิดจ้า ก็คำนึงว่าความสันตินั้นแท้จริงแล้วก็คือรอยต่อของสงครามตามวัฏฏะ
สุมาอี้ประมวลความทั้งปวงแล้วก็เห็นกระจ่างว่าเป็นกลอุบายของขงเบ้งต้องการลวงให้บุกเข้าไปในเมืองแล้วใช้ทหารซุ่มโจมตี และอาจจะมีทหารรุกตีกระหนาบเข้ามาอีกหลายทิศทาง “ก็ตกใจ ด้วยความประหวั่นครั่นคร้าม เม็ดเหงื่อขนาดใหญ่ไหลลงโทรมหน้าโดยไม่รู้ตัว” จึงสั่งให้ถอยทัพอย่างฉับพลัน
แปรกองหลังเป็นกองหน้า แปรกองหน้าเป็นกองหลัง เร่งรีบถอยทัพในทันที
อุบายตีขิมบนกำแพงเมืองร้างจึงสัมฤทธิผลและเลื่องชื่อลือชามาจนถึงทุกวันนี้
สถานการณ์ของนายสมัคร สุนทรเวช ในยามนี้เป็นอย่างไรเล่า? มวลมหาประชาชนนับล้านๆ กำลังชุมนุมประท้วง กลุ่มคนทุกชนชั้น ทุกชนชาติทุกศาสนา ทุกเพศ ทุกวัย ทุกหน ทุกแห่งถั่งโถมเข้าร่วมชุมนุมกดดันให้ลาออก กระทั่งศูนย์กลางการบริหารของตนคือทำเนียบรัฐบาลก็ถูกยึดไปกว่าสัปดาห์แล้ว ต้องร่อนเร่เป็นสัมภเวสีไปที่นั่นที่นี่ เป็นที่อับอายขายหน้าแก่ชาวโลกเขาไปทั่ว ความเชื่อถือเชื่อมั่นในการบริหารราชการแผ่นดินหมดสิ้นลงไปแล้ว นักท่องเที่ยวพากันเผ่นหนีออกจากประเทศหลังจากประกาศภาวะฉุกเฉิน ซ้ำเติมวิกฤตทางเศรษฐกิจให้ทรุดหนักลงไปอีก จะบริหารบัญชาการประการใดก็ไม่เป็นผล
ล่าสุดออกคำสั่งย้ายปลัดกระทรวงมหาดไทยไม่ถึง 3 ชั่วโมง ก็ต้องยกเลิกคำสั่งให้กลับเข้าสู่สถานะเดิม เลขานุการและรัฐมนตรีต่างประเทศก็ลาออก บอกสัญญาณความล้มเหลวของรัฐบาลให้นานาชาติรับรู้อย่างโจ่งแจ้งที่สุด ตบหน้านายสมัคร สุนทรเวช อย่างไม่เกรงอกเกรงใจและโดยไม่รับฟังคำร้องขอใดๆ อีก พรรคร่วมก็เตรียมจะเผ่นหนี พรรคตัวเองก็แตกเป็นหลายเสี่ยง เพราะใครๆ ก็เห็นว่าขืนเป็นเช่นนี้ก็คงตายยกรัง จึงต่างคนต่างคิดอ่านเอาตัวรอดกันจ้าละหวั่น
ข้าราชการทั้งปวงมีหรือที่จะไม่รู้ความเป็นไป ดังนั้นไม่เพียงแต่จะพากันเข้าเกียร์ว่างกันแทบทั่วประเทศเท่านั้น จำนวนหนึ่งก็ปฏิบัติการอารยะขัดขืนโดยไม่ได้แยแสกันอีกต่อไป
ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินก็ไม่มีใครยอมรับนับถือและสั่งใครไม่ได้ โดยเฉพาะท่าทีจากผู้นำกองทัพที่เปิดเผยว่าได้แจ้งให้นายสมัคร สุนทรเวช ทราบว่าการสลายม็อบไม่ใช่เรื่องง่าย และจะยืนข้างประชาชนนั้น ก็ได้เผยความให้เห็นว่ามีการสั่งให้ฝ่ายทหารสลายม็อบ ยืมมือฝ่ายทหารไปเข่นฆ่าประชาชน แต่ฝ่ายทหารเขารู้ทันจึงไม่ยอมเป็นเครื่องมือ ไม่ยอมให้มือเปื้อนเลือด มิหนำซ้ำยังแสดงจุดยืนดังเดิมที่เคียงข้างประชาชนเสียอีก
เมื่อติดขัดดังนี้จึงเกิดกรณีคำสั่งพิเศษให้ระดมพลตำรวจเข้ามาจากทั่วประเทศเกือบ 20,000 คน ค่อยๆ ทยอยกันเข้ามากรุงเทพฯ พร้อมด้วยอาวุธเต็มอัตราศึก และเตรียมรถขนผู้ต้องหาจำนวนมากมาย จำนวนกำลังพลของตำรวจและอาวุธที่พรั่งพร้อมเช่นนี้ ไหนเลยจะรอดหูรอดตาฝ่ายทหารไปได้ และใครๆ ก็ย่อมเห็นว่ามันอาจจะไม่ใช่แค่เตรียมการสลายม็อบเพียงอย่างเดียว แต่อาจจะเลยเถิดไปเป็นเรื่องอื่นก็ได้ เพราะเรื่องแบบนี้เคยมีบทเรียนมาแล้วเมื่อครั้ง พลตำรวจเอกเผ่า ศรียานนท์ คิดปฏิวัติด้วยกำลังตำรวจ หมายจะจู่โจมจับบุคคลสำคัญเสียก่อน แต่ก็ล้มเหลวและถูกจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ปฏิวัติจนต้องหนีไปตายในต่างแดน ตำรวจเขาก็คิดแบบตำรวจ ทหารเขาก็คิดแบบทหาร และย่อมกระจ่างในประวัติศาสตร์แบบนี้เป็นอย่างดี ที่สำคัญคือปัญหาที่ไอ้โม่งสั่งเคลื่อนย้ายกำลังตำรวจจำนวนมากพร้อมอาวุธยุทโธปกรณ์นั้นไม่ใช่คำสั่งของผู้บัญชาการทหารบก ซึ่งเป็นผู้รักษาการตามประกาศภาวะฉุกเฉิน จึงเป็นการเคลื่อนกำลังนอกคำสั่งและภารกิจ
เมื่อประกอบกับเหตุการณ์ที่มีการส่งกำลังตำรวจจำนวนมากไปคุ้มกันบ้านของนายสมัคร สุนทรเวช และการสั่งการให้กรมประชาสัมพันธ์เตรียมวิทยุแถลงข่าวในเวลาเช้านั้นเป็นเรื่องที่ไม่ปกติอย่างยิ่ง การเตรียมพร้อมขั้นสูงจึงเกิดขึ้นในค่ำคืนนั้น และในที่สุดกำลังตำรวจที่กรีฑาเคลื่อนพลเข้ามาก็ต้องล่าถอยถอนกำลังออกไป ในขณะที่มวลชนซึ่งกำลังระดมกันเข้ามาก็ถูกหยุดยั้งเอาไว้ เมื่อเป็นเช่นนี้นายสมัคร สุนทรเวช จึงเหมือนอยู่ในเมืองร้างจริงๆ จึงไม่มีอะไรดีไปกว่าการทำ “อุบายขงเบ้งตีขิมบนกำแพงเมืองร้าง” ด้วยประการฉะนี้.