วันพุธที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ทบทวนตัวเองกับโฆษณาที่ถูกแบน


โปรดชมโฆษณานี้ก่อนที่จะอ่านต่อนะครับ

บทความนี้ผมตั้งใจจะเขียนไปเรื่อยๆ เพราะเมื่อผมรู้สึกว่ามันเกิดขึ้นกับตัวผม หรือผมได้สัมผัสพบเห็น ผมจะมาเขียนบันทึกเพิ่มทันที...

เราทำอะไรผิดไปหรือปล่าว?
  • ผมเห็นข้าราชการที่ฉ้อราษฎร์บังหลวง แต่ผมทำเป็นไม่รู้ ไม่เห็น เพราะไม่ใช่เรื่องของเรา
  • ผมเห็นตำรวจไถเงินประชาชนอย่างไม่เป็นธรรม  แต่ก็ไม่อยากยุ่ง เห็นว่าไม่ใช่เรื่องของเรา
  • ผมมักคิดว่าความสุขและผลประโยชน์ของตนเอง ต้องมาก่อนความสุขและผลประโยชน์ของลูกน้อง
  • นักวิชาการบอกว่า การศึกษาของประเทศไทยที่ผ่านมายังมีข้อบกพร่อง จึงต้องมีการปฏิรูปการศึกษารอบ 2 
  • ผมชอบ "บ่น" มากกว่า "การทำงาน"
  • ผมเห็น ผอ.หลายโรงเรียน (ยอดนิยม) โกงเงินเรียนฟรี 15 ปีของเด็กนักเรียน แต่ผมก็นิ่งเฉย
  • ผมเห็นร้านคอมพิวเตอร์ ก็ยังปล่อยให้เด็กนักเรียนที่หนีโรงเรียนมาเล่นเกม โดยไม่ได้ทำอะไรเลย
  • เราปล่อยให้สนามยิงปืนจำหน่ายกระสุนปืน และนำกระสุนปืนออกมานอกสนาม เพื่อใช้ยิงคนอื่นได้
  • ระบบการสอบเอ็นทรานส์เข้ามหาวิทยาลัยเดี๋ยวนี้ ทำให้เด็กนักเรียนเกิดความเครียด และต้องเสียเงินค่าสอบจิปาถะ ไม่รู้สอบอะไรต่ออะไรบ้าง...แล้วใครเป็นคนพิสูจน์ว่าวิธีนี่ดี..เดี๋ยวก็เปลัี่ยนอีก..
  • เราปล่อยให้ครูหมกหมุ่นแต่การทำผลงาน การเตรียมรับการประเมินต่างๆ  จนครูลืมใส่ใจเด็กๆ 
  • เราสอนเด็กนักเรียนแต่วิชาสากล จนลืมสอนวิชาการครองตน ไปหรือปล่าว?
รุนแรงไปหรือปล่าว?
  • ใครที่ขัดผลประโยชน์เรา ก็จ้างมือปืนมายิงมันเสียเลย ไม่ต้องกลัว!  ตำรวจจับไม่ได้แน่นอน และอีกอย่างตำรวจก็เป็นพวกเรา
  • วัยรุ่นเดี๋ยวนี้ ยิงกันตายตั้งแต่ยังเด็ก...แล้วไปเอาปืนผาหน้าไม้มาจากไหน...สมัยก่อนแค่ชกต่อยกันก็ยังไม่ถึงตาย...
ฟังความข้างเดียวหรือปล่าว?
  • ผมมักจะเชื่อลูกน้องที่ประจบสอพลอมากกว่าลูกน้องที่ทำงานเก่ง
  • ทำไม? ลูกน้องชมเราว่า ทำงานเก่ง บริหารงานดี  ผลงานยอดเยี่ยม แต่คนอื่นกลับด่าว่าเราทำงานฮ่วยแตก?
ทำหน้าที่ของตัวเองหรือปล่าว?
  • ผมชอบที่จะไปยุ่งเรื่องของคนอื่น แต่งานในหน้าที่ของตัวเองกลับบกพร่อง
  • ผมเห็นชาวบ้านไปแจ้งความตำรวจ ว่าขโมยขึ้นบ้าน..แต่ตำรวจไม่เคยมาตรวจสถานที่เกิดเหตุเลย...และก็ไม่เคยจับขโมยได้เลย
  • ผมเห็นรถติดมากบนท้องถนน..แต่ตำรวจจราจรกลับกำลังสาละวนจับรถมอเตอร์ไซต์อยู่ข้างๆ
  • ผมเห็นพ่อค้าแม่ค้า และร้านรวงต่างๆ นำสิ่งของมาวางขายเกะกะไปหมดบนทางเดินเท้าข้างถนน จนผมต้องลงมาเดินในผิวจราจร.. แต่ตำรวจและเทศบาล..กลับไม่ทำอะไรเลย
คิดถึงประชาชนหรือปล่าว?
  • ผมเห็น ส.ส.ทะเลาะและชกต่อยกันในสภา เถียงกันว่าความคิดของข้าถูก เองผิด..แต่ประชาชนกลับเป็นหนี้และยากจนลงทุกวันๆ 
  • ผมเห็นนักการเมืองตัดเปอร์เซนต์จากงบประมาณการก่อสร้างถนน...ต่อมาอีกไม่นานถนนที่สร้างก็พัง
  • ผมคิดว่า ผมเก่งพอที่จะเป็นรัฐมนตรีกระทรวงใดกระทรวงหนึ่ง...แต่แล้วปัญหาของประชาชน ก็แก้ไม่ได้สักเรื่อง
  • ผมคิดว่า พรรคเราน่าจะได้โควต้ารัฐมนตรีมากกว่านี้
  • ผมเห็นนักการเมือง สร้างอาคารเรียน 5 ชั้นให้โรงเรียน แต่กลับไม่มีนักเรียนจะเรียน
โง่หรือปล่าว?
  • ส.ส.คนดีนี้ ท่านพาไปพวกเราไปเที่ยวตั้งหลายแห่ง  หากลงสมัครเลือกตั้งครั้งหน้า พวกเราก็ต้องเลือก ส.ส. คนนี้แหละ
  • ส.ส.คนนี้ดี งานบวช งานแต่ง งานศพไม่ว่างานไหนๆ ก็ไปหมด  บางทีไม่ว่างก็ยังส่ง เลขาฯ ไปแทนเลย...
  • เราชอบให้ชาวต่างชาติมาลงทุนในบ้านเรา...เพราะเราไม่ต้องหาเงินมาลงุทนเอง...รอแต่หมดสัมปทานเมื่อไหร่มันก็เป็นของเรา
  • ตอนนี้เราปล่อยให้ธนาคารและสถาบันการเงินของชาวต่างชาติเข้ามาสร้างกิจการอย่างเป็นล่ำเป็นสันในบ้านเรา
  • ตำรวจปวดหัวที่จะตามจับพวกแก๊งวัยรุ่นที่ชอบแต่งรถมอร์เตอรไซต์ สร้างความเดือดร้อนให้สังคม แต่เรากลับปล่อยให้ร้านแต่งรถมอเตอร์ไซต์เกิดขึ้นเต็มบ้านเต็มเมือง  
เอาเปรียบหรือปล่าว?
  • ผมเห็นชาวนายากจนลงและมีหนี้สินมากขึ้น แต่พ่อค้าโรงสีกลับรวย
  • ผมเห็นชาวสวนขายผักได้ราคาถูกๆ แม่ค้าที่รับซื้อผักกลับร่ำรวย ประชาชนอย่างผมจึงต้องซื้อผักแพง
  • ผมเห็นคุณครูบางคนสอนนักเรียนในโรงเรียนแบบขอไปที  แต่หากเสียเงินไปเรียนพิเศษนอกเวลากับครูแล้ว นักเรียนจะได้ความรู้ที่ครูอุบไว้ทั้งหมด 
ให้ปัญญาประชาชนหรือปล่าว?
  • ผมเห็นว่าช่วงเวลาหัวค่ำ รายการทีวีควรจะเป็นละครประเภทน้ำเน่า เพราะคนจะติดเยอะ เมื่อคนติดเยอะ โฆษณาก็ดี
  • ผมเห็นว่าคนพวกนี้ จ่ายเงินชดเชยให้มันไปก็หมดเรื่อง..
  • ชาวนาพวกนี้ หาแหล่งเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำๆ ผ่อนระยะยาวๆ  ให้เขาไปลงทุน ก็น่าจะแก้ปัญหาได้แล้ว
เสือกหรือปล่าว?
  • ผมเห็นหลายคน ที่วันๆ ชอบพูดคุย ซุบซิบนินทา เรื่องไม่ดีทั้งหลายของคนอื่น
  • ผมเห็นคนที่ชอบวิ่งเต้นเอางานของคนอื่นมาทำ เพราะงานนี้ได้หน้าได้ตา ทั้งๆ ที่ไม่ใช่งานในหน้าที่ของตนเอง..เสร็จแล้วงานที่ออกมาก็ไม่มีประสิทธิภาพ 
  • ผมเห็นข้าราชการบางคน แทนที่จะทำงานอยู่ในกระทวง ทบวง กรม  แต่กลับไปเดินรับใช้นักการเมือง...วางก้าม ชอบอ้างนาย แล้วเที่ยวไปสั่งให้คนนั้นทำนี่ คนนี้ทำโน่น 
รับเงินมากกว่าความถูกต้องหรือปล่าว?
  • ผมเห็นเพื่อนบ้านของผม รอรับเงินจากหัวคะแนนก่อน แล้วจึงจะไปเลือกตั้ง
  • ผมเห็นข้าราชการรับเงินใต้โต๊ะจากผู้รับเหมาก่อสร้าง...แล้วช่วยให้ประมูลงานได้
  • ผมเห็นเจ้านายบางคน ชอบให้ผู้รับเหมาพาไปเที่ยว ตีกอล์ฟ และเลี้ยงอาหารอยู่เสมอ พองานของผู้รับเหมาที่ออกมาไร้คุณภาพ ก็พูดไม่ออก
  • เลือกตั้งครั้งนี้ ต้องได้อย่างน้อยหัวละ 1,500 บาท ไม่อย่างนั้นไม่เลือกแน่นอน
 แล้วรอการช่วยเหลืออย่างเดียวหรือปล่าว?
  • เราต้องเรียกร้องให้รัฐบาลหาเงินมาเยียวยาให้เรา ไม่อย่างนั้นเราจะประท้วงอยู่อย่างนี้
  • ภัยแล้ง น้ำท่วมซ้ำซาก..กี่ปีกี่ปีก็เป็นอย่างนี้...รัฐบาลไม่แก้ปัญหาให้เราเลย
  • ไม่ต้องห่วง พอถึงฤดูหนาว เดี่ยวรัฐบาลก็หาผ้าห่มมาแจกให้พวกเราเอง
ถ้าจะต้องมีคนผิด ก็คงเป็นเราทั้งหมดที่ผิด ขอโทษประเทศไทย และถ้าจะต้องแก้ไข ก็คงต้องเป็นเราคนไทยที่ต้องลุกขึ้นแก้ จดจำความสูญเสียไว้ในใจ แล้วเปลี่ยนให้เป็นพลัง

วันอังคารที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2553

สนามแข่งหนู

อีกไม่นานนัก หนูแก่ๆ หลายตัวก็จะเกษียณไป หนูหัวหน้าตัวใหม่กำลังจะขึ้นมาแทน และก็ยังมีหนูอีกหลายตัวกำลังวิ่งแข่งขันกันอยู่ภายในสนาม....

วันนี้..ผมคิดถึงหนังสือเล่มหนึ่งที่เคยอ่าน มีอยู่ตอนหนึ่งเขียนเรื่อง "สนามแข่งหนู" ไว้  เลยนำมาคิดเปรียบเทียบกับชีวิตในสังคมเราทุกวันนี้....โดยเฉพาะอย่างยิ่ง...ชีวิตของข้าราชการอย่างผม...

..วันๆ เรานั่งอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ บนโต๊ะข้างหน้ามีหนังสือกองโตที่รอให้เซ็นต์ โถ..นึกว่างานเยอะ แต่แท้ที่จริงแล้วหนังสือกองโตเหล่านั้น เป็นเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับตัวเอง และการดำรงสภาพของหน่วยตัวเองเสียส่วนใหญ่..แทบไม่มีเรื่องราวอะไรที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมเลย....

ผมเคยหยิบกระดาษ A4 เปล่าๆ ขึ้นมาหนึ่งแผ่น ตั้งใจจะเขียนว่า วันนี้ ข้าราชการอย่างผม ได้ทำอะไรให้เป็นประโยชน์ต่อสังคมบ้าง...เชื่อไหมว่า...ผมไม่รู้จะเขียนอะไร.... (อันนี้ไม่ได้หมายถึงข้าราชการทุกคนนะครับ หมายถึงตัวของผมเอง)

ผมจินตนาการภาพของสนามแข่งหนู  ที่กำลังมีผู้นั่งชมและเชียร์อยู่รอบๆ  พวกหนูทั้งหลาย ก็กำลังวิ่งแข่งขันกันอยู่ภายในลู่ที่จัดเตรียมไว้ให้   แรกๆ เมื่อเริ่มปล่อยตัวจากจุดสตาร์ท หนูทุกตัวต่างสดชื่น ตั้งหน้าตั้งตาวิ่งไปยังเส้นชัย เพื่อจะได้เป็นผู้ชนะ...

วิ่งไปสักพักลู่เริ่มแคบลงเรื่อยๆ หนูบางตัวหมดแรงและถูกหนูกันเองกัดจนแผลเหวอะหวะไปหมด หนูตัวที่แข็งแรงและรู้หลบหลีก ก็ยังวิ่งไปข้างหน้าเรื่อยๆ....

มีหนูบางตัวรู้สึกว่าตัวเองมาแข่งขันกันทำไมในลู่เล็กๆ เหล่านี้...ทั้งๆ ที่ข้างหน้าก็รู้ว่ามันเป็นอะไร...จึงตัดสินใจกระโดดออกจากสนามแข่งหนู ทันที....หนูตัวนั้นจึงรู้ว่า....โลกนอกสนามแข่งนี้...มันช่างกว้างใหญ่เสียจริงๆ มีเรื่องราวชวนให้เรียนรู้อีกมากมาย....

หนูที่เหลือส่วนใหญ่ก็ยังวิ่งแข่งขันกันไปยังเส้นชัยเรื่อยๆ...เพื่อจะได้เป็นผู้ชนะ....ทั้งๆ ที่รู้ว่าผู้ชนะต้องมีตัวเดียว.... หนูเริ่มใช้ปากกัดตัวข้างหน้า เท้าถีบตัวข้างหลัง เบียดเพื่อนหนูที่วิ่งอยู่ข้างๆ ให้ตกลู่ไป...หนูบางตัวสู้ไม่ไหว ก็ย้ายไปแข่งขันในสนามอื่น...

กว่าจะถึงเส้นชัย...ได้เป็นผู้ชนะก็สะบักสบอม เสียพวกพ้องเพื่อนหนูที่วิ่งแข่งขันร่วมกันไปหลายตัว...หลงดีใจอยู่พักหนึ่ง..ว่าตนเองเป็นผู้ชนะ...หันกลับมาดูอีกที..เพิ่งรู้ว่าอีก 2-3 ปีข้างหน้า ข้าก็จะเป็นหนูแก่ๆ ที่จะเกษียณแล้วเหรอ...นึกในใจว่า...น่าเสียดายเวลาที่เอาแต่วิ่งแข่งขันกันมาตลอดอายุราชการ....

หนูที่แข่งขันกันในสนามนั้น...แทบไม่รู้เลยว่าความสุขระหว่างทางนั้นเป็นอย่างไร....

ผมจำคติของคุณตรง ตันติเวชกุล ที่เขียนไว้ในบทความหนึ่งแต่จำไม่ได้ว่าอะไร คุณตรงมีคติว่า

"ผมยืนอยู่บนเส้นทางที่แตกต่างจากคนอื่น โดยไม่สนใจว่าปลายทางจะเป็นอะไร แต่ระหว่างทางต้องมีความสุข"

ผมมองเห็นวิธีการที่หนูในสนามแต่ละตัวแข่งขันกัน...มันช่างสกปรกสิ้นดี...ผมรู้สึกว่าผมทำอย่างหนูพวกนั้นไม่ได้  ผมไม่สามารถเปลี่ยนความคิด เปลี่ยนพฤติกรรมและเปลี่ยนความรู้สึกของตนเองได้  ผมจึงไม่อยากที่จะเป็นผู้ชนะในสนามแข่งขันนั้น...เพราะความสุขระหว่างทางของผมจะหายไปหมด เพียงเพื่อจะได้เป็นผู้ชนะและชื่นชมความเป็นผู้ชนะอยู่เพียงปีสองปี...

ผมเบื่อสนามแข่งหนู...และผมต้องรู้ตนเองให้ได้ว่า...ความสุขที่ผมต้องการนั้น แท้จริงคืออะไร...

เขียนโดย : จุฑาคเชน 17 ส.ค.2553
ที่มาของภาพ
http://www.anattara.com/scpage1.html
http://www.moph.go.th/ops/iprg/iprg_new/include/admin_hotnew/show_hotnew.php?idHot_new=27442

วันจันทร์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2553

กล่องกระดาษของพ่อ : นิทานสอนใจ

มีเพื่อนผมได้ Forward Mail  นิทานสอนใจ : กล่องกระดาษของพ่อ ซึ่งเล่าเรื่องโดย ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา จากหนังสือ "ด้วยรักบันดาล นิทานสีขาว"   ผมคิดว่าเป็นนิทานที่ดีมากจึงนำมาลงไว้ในบล็อกนี้ อีกทาง เผื่อมีคนเขามาอ่านเพิ่มเติมจะได้ส่งต่อๆ กันไป ลองอ่านดูนะครับ (ยาวหน่อย แต่ตั้งใจอ่านให้จบนะครับ)

มีพ่อลูกคู่หนึ่งอาศัยอยู่ที่ชายป่า พ่อมีอาชีพปลูกผักและเก็บไปขายในเมือง
ส่วนลูกชายอายุ 10 ขวบมีหน้าที่สำคัญคือไปโรงเรียนและตั้งใจศึกษา หาความรู้

ลูกชายของคนปลูกผักเป็นเด็กเรียนดีมีมารยาท เป็นที่รักใคร่ของครูบาอาจารย์ และผู้ใหญ่ที่พบเห็น แต่มาในระยะหลัง ผู้เป็นพ่อสังเกตเห็นว่า ลูกมักจะกลับมาบ้านด้วยใบหน้าที่่บึ้งตึง เหมือนมีเรื่องขุ่นมัวในใจ จึงเรียกเข้ามาคุยด้วยในเย็นวันหนึ่ง

"ลูกรัก ระยะหลังมานี้พ่อรู้สึกว่าลูกไม่ค่อยมีความสุขนัก หน้าตาของลูกบึ้งตึงไม่ชวนมอง โดยเฉพาะเวลาที่กลับจากโรงเรียน มีอะไรเกิดขึ้นกับลูก บอกความจริงกับพ่อมาเถิด"

ลูกชายไม่่คิดปิดบังพ่อของเขาอยู่แล้ว เพียงแต่ที่ผ่านมาเขาเห็นว่า พ่อเหนื่อยเพราะทำงานหนัก จึงไม่อยากรบกวนให้ต้องมากังวลด้วยเรื่องของตนอีก แต่เมื่อพ่อเอ่ยปากถามมาเช่นนี้ เขาก็จำเป็นต้องพูดความจริงออกไป

"ที่ห้องของผมมีนักเรียนย้ายมาใหม่ครับ เขาเป็นลูกคนมีเงิน แต่ชอบดูถูกคน และมักรังแกเพื่อนที่อ่อนแอกว่าเสมอ เมื่อเขาเห็นว่าผมสอบได้คะแนนดี และได้รับคำชมจากครูบ่อย ๆ เขาก็มักพูดจาถากถาง และคอยกลั่นแกล้งผมอยู่ตลอดเวลา" ลูกชายระบายให้พ่อของเขาฟังอย่างคับแค้นใจ

"แล้วลูกทำอย่างไรเมือโดนเขาแกล้ง" ผู้เป็นพ่อถามต่อ

"ผมพยายามไม่สนใจ แต่เขาก็ไม่ยอมลดละ ผมคิดว่า ผมคงทนเขาไปได้อีกไม่นานหรอกครับพ่อ สักวันผมจะต่อยเขา เอาให้เลือดของเขาไหลออกมาล้างปากเสีย ๆ ของเขาบ้าง" พูดจบ ผู้เป็นลูกก็ตกใจวูบขึ้นมาทันที เพราะนึกได้ว่าตนเองเผลอ ใช้คำพูดที่รุนแรงออกไป เขาเหลือบมองหน้าพ่อ คิดว่าพ่อจะต้องโกรธมากแน่ ๆ เพราะพ่อสอนเขาให้เป็นผู้ชายที่สุภาพบุรุษ ไม่ทำตัวเกกมะเหรกเกเร หาเรื่องชกต่อยกับใคร ทว่า พ่อของเขากลับไม่ได้พูดหรือแสดงอารมณ์ใด ๆ ออกมา !

ลูกชายชั่งใจดูท่าทีของพ่ออยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อว่า

"ผมรู้ว่าพ่อไม่ชอบให้ผมก้าวร้าว แต่ผมทนไม่ไหวแล้วครับ ผมอยากให้ไอ้คนที่ทำกับผมรู้จักความเจ็บปวดและอับอายบ้าง มันจะได้รู้ว่าคนอื่นรู้สึกอย่างไรเวลาที่ถูกกลั่นแกล้ง"

ผู้เป็นพ่อมองหน้าลูกชายแล้วยิ้มน้อย ๆ เขาบอกแก่ลูกด้วยเรื่องที่ไม่เกี่ยวกันเลยว่า

"อีกสามวันจะเป็นวันเกิด ครบสิบเอ็ดขวบของลูก ตัวพ่อเองก็ยากจน ไม่เคยให้ของขวัญอะไรลูกเลย แต่ปีนี้เป็นปีแรกที่พ่อจะให้ของขวัญแก่ลูก"

ลูกชายรู้สึกงุนงงที่จู่ ๆ พ่อก็พูดเรื่องนี้ขึ้นมา อย่างไรก็ตามเขารู้สึกดีใจมาก และเฝ้านับวันรอให้วันเกิดในอีกสามวันมาถึงเร็ว ๆ

ครั้นเมื่อถึงวันเกิดของลูกชาย คนปลูกผักก็นำของขวัญมามอบให้แก่ลูกชายของเขาตามสัญญาเป็นกล่องกระดาษสีขาว และ สีดำ ขนาดใหญ่ อย่างละ 1 กล่อง

"พ่อครับ ทำไมต้องให้ของขวัญแก่ผมตั้งสองชิ้นล่ะครับ ถึงผมจะอยากได้ของขวัญจากพ่อ แต่แค่ชิ้นเดียวก็น่าจะพอแล้ว" ลูกชายกล่าวด้วยความเกรงใจ ด้วยรู้ว่าพ่อขายผักแต่ละครั้งได้เงินไม่มากนัก

"ลูกรัก พ่อตั้งใจมอบของขวัญให้ลูกเช่นนี้เอง เพราะมันจำเป็นแก่ตัวลูกทั้งสองกล่อง จงรับไปจาก พ่อเถิด"

ลูกชายก้มลงกราบเท้าพ่อและกล่าวคำขอบคุณอย่างซาบซึ้งใจ จากนั้นเขาจึงลงมือแกะเชือกที่ผูกกล่องกระดาษสีขาวออก แต่ก็พบว่า ในกล่องสีขาวนั้น ไม่มีอะไรอยู่เลย เขาหันไปมองหน้าพ่อเป็นเชิงคำถาม

"เปิดกล่องสีดำด้วยสิลูกรัก" พ่อของเขากล่าวแทนคำตอบ

ลูกชายรีบแกะเชือกที่ผูกกล่องสีดำออก แต่ในกล่องสีดำก็ไม่มีอะไรเลยเช่นเดียวกับกล่องสีขาว นอกจากรูขนาดใหญ่ที่ถูกเจาะเอาไว้ตรงก้นกล่องเท่านั้น

"พ่อครับ ไม่! มีอะไรอยู่เลยนี่ครับ" ลูกชายบอกกับพ่อของเขา

"พ่อลืมใส่ของลงไปหรือเปล่าครับ หรือเพราะว่ากล่องกระดาษสีดำก้นรั่ว ของที่พ่อใส่ไว้ก็เลยหล่นหายไปโดยที่พ่อไม่รู้ครับ"

ผู้เป็นพ่อยิ้มอย่างใจดี ก่อนจะเดินไปนั่งข้าง ๆ ลูกชายพร้อมกับบอกว่า " พ่อคงให้ของขวัญแก่ลูกได้แค่กล่องกระดาษสองใบนี้ แต่ของที่อยู่ข้างใน ! ลูกจะต้องเป็นผู้ใส่มันลงไปเอง กล่องกระดาษสีขาวเป็นกล่องแห่งความสุข ต่อไปนี้ เมื่อไรก็ตามที่ลูกได้พบกับสิ่งดี ๆ หรือเรื่องที่ทำให้ลูกมีความสุข ขอให้ลูกเขียนมันลงไปในเศษกระดาษและนำมาใส่ไว้ในกล่องสีขาว ส่วนกล่องสีดำคือกล่องแห่งความทุกข์ ไม่ว่าอะไรที่ทำให้จิตใจของลูกเป็นทุกข์ มัวหมอง ให้ลูกเขียนและนำมาใส่ไว้ในกล่องสีดำ แล้ววันหนึ่ง เราจะมาเปิดกล่องทั้งสองใบนี้ดูด้วยกัน"

แม้จะไม่เข้าใจว่าทำไมพ่อจะต้องให้ทำเช่นนี้ แต่ลูกชายก็ยอมทำตามคำขอของพ่อแต่โดยดี

ทุก ๆ วันเขาจะนำเศษกระดาษมากมายที่เขียนเรื่องราวดี ๆ ในชีวิตหย่อนลงไปในกล่องสีขาว และเอาเศษกระดาษอีกมากมายที่เขียนเรื่องราวไม่ดีหย่อนลงไปกล่องสีดำ โดยผู้เป็นพ่อคอยเฝ้ามองการกระทำนี้อยู่เงียบ ๆ

สามเดือนผ่านไป เย็นวันหนึ่งลูกชายกลับมาจากโรงเรียนด้วยอารมณ์ที่พลุ่งพล่านยิ่งกว่าวันไหน ๆ เขาโยนกระเป๋านักเรียนลงบนเก้าอี้ด้วยความกราดเกรี้ยว และทำท่าจะผลุนผลันออกจากบ้านไปอีกครั้ง

แต่คนปลูกผักสังเกตเห็นก่อน เขาปราดเข้าไปยึดตัวลูกชายไว้และสอบถามว่าเกิดอะไรขึ้น

"ผมทนไม่ไหวแล้วครับพ่อ ไอ้คนเลวคนนั้นมันดูถูกพวกเรา มันว่าพ่อเป็นแค่คนปลูกผักยากจน มันว่าเราสองคนเป็นคนชั้นต่ำไม่มีเกียรติ แล้วมันยังขโมยหนังสือเรียนของผมไปทิ้งในถังขยะด้วย ผมจะไปจัดการมัน จะทำให้มันเจ็บและจำไปจนตายเลยที่มันบังอาจมาดูถูกพ่อ"

คนปลูกผักไม่ได้โกรธตามลูกชาย เขาเพียงแต่ถามลูกว่า "วันนี้ลูกเขียนเรื่องสุข และทุกข์ใส่ในกล่องสีขาวและกล่องสีดำหรือยัง"

ลูกชายประกาศเสียงกร้าวทันทีว่า "ผมจะไปจัดการไอ้คนนั้นก่อน ให้มันรู้ว่าเราจะไม่ยอมให้มันมาดูถูกเราได้อีก"

"ลูกต้องไปเขียนก่อน" พ่อบอกเสียงเรียบ "เพราะวันนี้เราจะเปิดกล่องนั้นออกดูด้วยกัน"

ลูกชายมองหน้าพ่ออย่างฉงน ไม่เข้าใจว่าทำไมพ่อจะต้องให้เปิดกล่องพวกนั้นในเวลานี้ด้วย แต่เขาไม่ใช่เด็กดื้อ จึงยอมข่มอารมณ์โกรธลงชั่วคราวแล้วทำตามที่พ่อบอก

หลังจากหย่อนกระดาษความสุขความทุกข์ลงในกล่องกระดาษสีขาวสีดำเรียบร้อยแล้ว ผู้เป็นพ่อจึงบอกให้ลูกชายยกกล่องกระดาษสีขาวมาวางไว้บนโต๊ะหน้าบ้าน

"โอ้โห แค่สาม! เดือนที่ผมใส่เศษกระดาษลงไป ผมไม่คิดเลยว่าจะทำให้กล่องสีขาวหนักได้ขนาดนี้" ลูกชายอุทานอย่างคาดไม่ถึง ผู้เป็นพ่อยิ้ม และบอกว่า " ทีนี้ลูกไปยกกล่องสีดำมาวางตรงนี้ด้วยสิ"

"กล่องสีดำน่าจะหนักกว่านี้อีกนะครับ เพราะว่าผมใส่เรื่องไม่ดีของคนที่ชอบแกล้งผมเอาไว้มากทีเดียว"

แต่ทันทีที่ลูกชายยกกล่องกระดาษสีดำขึ้นจากที่ตั้งเดิมของมัน เศษกระดาษมากมายที่เคยอัดแน่นอยู่ภายในก็ร่วงพรูออกมาจากก้นกล่อง

บัดนี้ กล่องกระดาษสีดำก็เบาหวิวไร้น้ำหนัก เพราะไม่มีอะไรคงเหลืออยู่ในนั้นแล้ว

ลูกชายหันไปมองหน้าพ่อ "ผมลืมไปเสียสนิทเลยครับว่ากล่องใบนี้มีรูอยู่ด้วย เดี๋ยวผมจะเก็บเศษกระดาษพวกนี้ไปใส่กล่องใบใหม่นะครับ"

แต่ผู้เป็นพ่อบอกว่า "เก็บไปทำไมล่ะลูก เมื่อมันร่วงออกมาจากกล่องแล้วมันก็คือขยะ ใส่กลับเข้าไปไม่ได้อีก ลูกไปเอาไม้กวาดมากวาดมันทิ้งไปให้หมดเถิด ต่อไปกล่องแห่งความทุกข์ของลูกจะได้ว่างเปล่า ไม่มีความขุ่นข้องหมองใจเหลืออยู่อีก ในขณะที่กล่องแห่งความสุขของลูกจะเต็มไปด้วยความสุขตลอดเวลา"

"อันที่จริง เมื่อลูกบอกพ่อว่า ลูกทนคนที่กลั่นแกล้งทำร้ายลูกไม่ไหวนั้น พ่อก็ไม่เห็นว่าทำไมลูกจะต้องทนเขาด้วย เพราะเรื่องนี้ไม่มีอะไรต้องทนเลย เพียงแค่ลูกไม่เก็บเอาสิ่งแย่ ๆ ที่เขาทำกับลูกมาขังไว้กับตัวเอง ไม่ต้องไปทำความรู้จักมัน ความทุกข์นั้นก็ระรานหัวใจของลูกไม่ได้ ดูในกล่องสีขาวสิลูก ความสุขความภูมิใจของลูกตั้งมากมายก็อัดแน่นอยู่ในนั้น ทำไมลูกถึงมองข้ามไป ละทิ้งความทุกข์ซึ่งไร้ประโยชน์กับชีวิตของลูก แล้วอยู่กับสิ่งที่ทำให้ลูกเป็นสุขไม่ดีกว่าหรือ"

ลูกชายมองหน้าพ่ออย่างอัศจรรย์ใจ เขาเพิ่งเข้าใจความหมายของกล่องกระดาษสองใบนั้นอย่างแจ่มชัดในวันนี้เอง

ความโกรธขึ้งที่มีต่อเพื่อนคนนั้นค่อย ๆ จางหาย หัวใจผ่อนคลายไม่บีบรัดเหมือนเมื่อครู่ ความเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นได้ก็เพราะกล่องแห่งความทุกข์ของเขาว่างเปล่าแล้วนั่นเอง

บทสรุปของผู้แต่ง
ช่างน่าฉงนจริง ๆ ที่คนเรามักจะจดจำเรื่องราวที่ทำให้ตนเองเจ็บปวดได้แม่นยำและยาวนานกว่าความสุขอีกตั้งมากมายที่เราเคยรู้จัก 

สิ่งที่คนปลูกผักมอบให้เป็นของขวัญแก่ลูกชายไม่ใช่แค่กล่องกระดาษสีขาวหรือสีดำ แต่เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตให้มีความสุข ด้วยการละทิ้งความทุกข์ แล้วทำความรู้จักกับความสุขที่มีให้มากกว่าเดิม เพียงการให้ที่แสนจะธรรมดาครั้งเดียวนี้ ก็ทำให้ลูกของเขารู้จักความสุขไปจนตลอดชีวิต

เราอาจจะเลี่ยงคนสกปรกที่ชอบโยนขยะและความโสโครกใส่หน้าบ้านเราไม่ได้ แต่เราก็เลือกที่จะไม่ก้มลงเก็บมันเข้ามาไว้ในบ้านและกวาดมันทิ้งไปอย่างไม่แยแสได้ แน่นอนว่าการรับมือกับคนพวกนี้เป็นเรื่องน่าเบื่อหน่าย แต่ถ้าเราทำได้ ต่อไปความสกปรกก็จะหายไปจากหน้าบ้านของเราเองโดยที่เราไม่ต้องทำอะไรเลย

วันเสาร์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ปลาหมึกเปลี่ยนสียังดีกว่าจิ้งจก

ในโลกของสัตว์ ปลาหมึก จัดว่าเป็นสุดยอดแห่งนักปลอมตัว เซลล์สีในผิวหนังของพวกมันสามารถปรับเปลี่ยนได้เกือบจะทันทีเพื่ออำพรางพวกมันจากเหล่านักล่า

ส่วน " จิ้งจกเปลี่ยนสี " เป็นคำที่แสดงถึงความหมายสองอย่าง อย่างแรกมีความหมายที่บ่งชี้ให้เห็นว่าจิ้งจกนั้นเปลี่ยนสีได้ ซึ่งเป็นความจริงทางชีววิทยาที่จิ้งจกสามารถเปลี่ยนสีให้กลมกลืนกับสภาพแวดล้อมที่เป็นอยู่ได้ สภาพแวดล้อมสีเทา สีจิ้งจกก็จะเปลี่ยนเป็นสีเทา แต่พอสภาพแวดล้อมเป็นสีน้ำตาลจิ้งจกก็จะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล หรือถ้าสภาพแวดล้อมเป็นสีดำจิ้งจกก็จะเปลี่ยนเป็นสีดำอีก

อย่างที่สอง เป็นการเปรียบเทียบคนที่เปลี่ยนความคิดจิตใจและท่าทีไปตามสภาพแวดล้อมที่เป็นอยู่ พูดให้ชัดก็คือเปลี่ยนแปลงตัวเองให้เข้ากับผู้มีอำนาจหรือผู้ที่จะให้ผลประโยชน์แก่ตนได้ จากคนที่ดูเหมือนดีก็สามารถทำเรื่องเลวทรามต่ำช้าได้ คนจำพวกนี้จึงถูกเปรียบเปรยว่าเป็นพวกจิ้งจกเปลี่ยนสี

การเปลี่ยนสีของปลาหมึกและจิ้งจก ล้วนมีวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน

ปลาหมึก เปลี่ยนสีเพื่อป้องกันตนเอง แต่จิ้งจก เปลี่ยนสีเพื่อจะไปกินแมลงตามเพดานห้อง

การทำงานแบบจิ้งจกเปลี่ยนสี ถือว่าเป็นวิธีทำงานอีกแบบหนึ่งที่อันตราย เพราะคนเช่นนี้ พร้อมที่จะกัดกินใครก็ได้ ขอให้ตัวเขาได้ผลประโยชน์

วันนี้ นักการเมืองหลายคน กำลังทำงานแบบจิ้งจกเปลี่ยนสี เปลี่ยนขั้ว เปลี่ยนพรรค เปลี่ยนผลประโยชน์!

วันนี้ ใกล้ที่จะปรับย้ายตำแหน่งข้าราชการ เพราะมีข้าราชการหลายคนต้องเกษียณอายุไปเลี้ยงหลาน ข้าราชการหลายคนที่เหลือกำลังเลือกว่า จะเปลี่ยนเป็นจิ้งจกสีอะไรดี...!

สิ่งที่จะป้องกัน คนที่ทำงานแบบจิ้งจกเปลี่ยนสีได้ ก็คือ ระบบขององค์กร และอุดมการณ์ของแต่ละคนในองค์กร

ระบบองค์กรที่เข้มแข็ง สามารถป้องกันการทุจริตและคอรัปชั่นได้ สามารถป้องกันนโยบายโง่โง่ ของนายที่โง่โง่ได้ ไม่ว่านายคนไหนจะย้ายมา อยู่ปีหนึ่ง สองปี แล้วก็ไป

อุดมการณ์ของคนในองค์กร นับเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ที่จะป้องกัน
ข้าราชการ ต้องยืนหยัดอยู่บนความอยู่ดีมีสุขของประชาชน
กองทัพ ต้องทำหน้าที่ปกป้องอธิปไตยของประเทศชาติ และรักษาราชบัลลังก์
ตำรวจ ต้องหน้าที่พิทักษ์ประชาชน
ครู ต้องคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของเด็กนักเรียน
ฯลฯ

คนที่ทำงานแบบปลาหมึกเปลี่ยนสี คือ คนที่ทำงานไปวันๆ ตามหน้าที่ที่มี  นายคนไหนสั่งมาอย่างไร ก็ทำไปอย่างนั้น ป้องกันเพียงไม่ให้เกิดข้อบกพร่องกับตนเอง ไม่คิดร้ายใคร ไม่แก่งแช่งชิงดีกับใคร

แต่คนที่ทำงานแบบจิ้งจกเปลี่ยนสี คือ คนที่ทำงานกับใครก็ได้ที่มาเป็นนาย  ทำงานเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง นายโง่ก็ชมว่าฉลาด  ทำงานแบบปากกัดพี่ เท้า(ตีน)ถีบน้อง ว่างๆ ก็ฟ้องนาย หากจำเป็นก็ขายเพื่อนได้  แก่งแย่งชิงตำแหน่งเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง

การทำงานอย่างคนทั้งสองจำพวก ผมคิดว่าทำงานแบบ "ปลาหมึกเปลี่ยนสีจึงยังดีกว่าจิ้งจก" เพราะปลาหมึกทำเพื่อป้องกันตนเอง แต่จิ้งจกทำเพื่อทำร้ายคนอื่น

เขียนโดย ชาติชาย คเชนชล 7 ส.ค.2553

ตีพิมพ์ใน น.ส.พ.สู่ชนบท ปีที่ 21 ฉบับที่ 376 ประจำเดือนกันยายน พุทธศักราช 2553 หน้า 3

วันศุกร์ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2553

นั่งทำงานก็บริหารได้

วันนี้ ผมเผอิญได้อ่าน "คู่มือการดูแลส่งเสริมสุขภาพผู้สูงอายุ"  ของคุณน้าผม จัดทำโดย กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ได้พบกับ "วิธีการฝึกบริหารศีรษะตามวิธีของ คอว์ธอร์น"  พออ่านไปแล้ว ผมคิดว่าคนทำงานอย่างเราๆ (ที่ยังไม่สูงอายุ) ก็ฝึกได้ ทำได้ทุกที่ทุกเวลา ถ้าอยากจะทำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาที่รู้สึกเครียดกับงาน ลองทำดูนะครับ


การบริหารตา


มองขึ้น แล้วมองลง เริ่มต้นทำช้าๆ แล้วค่อยๆ ทำเร็วขึ้น 20 ครั้ง 

มองจากด้านหนึ่งไปยังอีกด้านหนึ่ง
เริ่มต้นทำช้าๆ แล้วค่อยๆ ทำเร็วขึ้น 20 ครั้ง

จ้องมองนิ้วมือ ขณะที่เหยียดแขนไปข้างหน้าสุดแขน
แล้วเลื่อนกลับมาที่เดิม ทำ 20 ครั้ง

การบริหารศีรษะ

ก้มศีรษะไปข้างหน้า แล้วแหงนไปข้างหลัง
ทำขณะลืมตา เริ่มต้นทำช้าๆ แล้วค่อยๆ ทำเร็วขึ้น 20 ครั้ง
หันศีรษะจากด้านหนึ่ง ไปยังอีกด้านหนึ่ง
เริ่มต้นทำช้าๆ แล้วค่อยทำเร็วขึ้น 20 ครั้ง

การนั่ง

ขณะนั่งให้ยกไหล่ขึ้นลง 20 ครั้ง
หันไหล่ไปทางขวา แล้วหันไปทางซ้าย ทำ 20 ครั้ง
ก้มตัวไปข้างหน้าแล้วหยิบของจากพื้น
แล้วกลับนั่งตรง ทำ 20 ครั้ง

การยืน

เปลี่ยนจากท่านั่งเป็นยืน แล้วกลับนั่งลงอีก
ขณะลืมตา ทำ 20 ครั้ง

การเคลื่อนไหว

โยนลูกบอลยางเล็กๆ จากมือหนึ่งไปอีกมือหนึ่ง
ให้สูงดหนือระดับตา ทำ 10 ครั้ง

เดินขึ้นลงบันได
ขณะลืมตา 10 ครั้ง ขณะหลับตา 10 ครั้ง
เดินขึ้นและลงตามทางลาด
ขณะลืมตา 10 ครั้ง ขณะหลับตา 10 ครั้ง


ประโยชน์ของการฝึกบริหารศีรษะตามวิธีของคอว์ธอร์น
  1. เพื่อให้เกิดการผ่อนคลายของกล้ามเนื้อคอและไหล่ และป้องกันการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อที่มักใช้ในการเคลื่อนไหวช่วยให้การไหลเวียนของกระแสโลหิตไปสมองดีขึ้น
  2. เป็นการฝึกการเคลื่อนไหวของลูกตาและศีรษะให้เป็นไปอย่างอิสระ
  3. เป็นการฝึกให้เกิดการสมดุลของการทรงตัวในการใช้ตาและกล้ามเนื้อส่วนอื่นๆ ตามสถานการณ์หรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นประจำวัน
  4. เป็นการฝึกให้เกิดความเคยชินกับการเคลื่อนไหวตามธรรมชาติ ทั้งในเวลากลางวันและกลางคืน
  5. เป็นการสร้างความมั่นใจให้เกิดขึ้นกับตัวเองอย่างง่ายๆ จากการฝึกเคลื่อนไหวตามธรรมชาติ
ที่มา :
สำนักส่งเสริมสุขภาพ. (2548). คู่มือดูแลส่งเสริมสุขภาพผู้สูงอายุ. กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข : องค์การรับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์ (ร.ส.พ.). (หน้า 20-24) 

วันพุธที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2553

วิธีการทำงานแบบพยากรณ์

วิธีการทำงานแบบพยากรณ์ หมายถึง วิธีการทำงานโดยการคาดเดาว่า ในอนาคตข้างหน้า ใครจะได้เป็นใหญ่ มีอำนาจและบารมี ที่จะช่วยให้เราเป็นใหญ่ตามไปด้วย เมื่อคาดเดาได้แล้ว ก็เริ่มเข้าไปแสดงตนเป็นผู้รับใช้ ประจบประแจง เอาอกเอาใจ จนเขาเชื่อใจว่าเราเป็นลูกน้องที่จงรักภักดี  

การทำงานแบบนี้  เป็นการทำงานที่ผมเริ่มสังเกตเห็นมากว่า 10 ปีแล้ว และเริ่มปรากฏเด่นชัดมากยิ่งขึ้นในยุคสังคมปัจจุบัน  โดยเฉพาะในยุคที่นักการเมืองเข้ามาแทรกแซงและมีบทบาทต่อการแต่งตั้งและโยกย้ายข้าราชการประจำ

ลองสังเกตดูนะครับ บรรดาหัวคะแนนของนักการเมือง พอพูดถึงนักการเมืองที่ตนเองรับใช้อยู่ มักจะใช้คำเรียกแทนว่า  "นาย"  เช่น  นายไม่ชอบ นายไม่เอา นายไม่ยอม  นายจะเอาอย่างนี้ ฯลฯ  จนบางครั้งผมก็อดสงสัยไม้่ได้ว่า ใคร คือ นายของคุณ  เขาน่าจะเป็นบ่าวของคุณมากกว่า เพราะเขาคือผู้รับใช้ประชาชน 

บางวาระ ถ้านายของข้าฯ ได้เป็นพรรครัฐบาล ลูกน้องก็ใหญ่ตามไปด้วย ยิ่ง หากนายได้เป็นรัฐมนตรีด้วยแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลยนะครับ ว่าภาพของลูกน้องจะกร่างขนาดไหน

นักการเมือง ตั้งแต่ระดับเล็กไปจนถึงระดับใหญ่ ล้วนมีนายคุ้มหัวกันเกือบทั้งสิ้น การเลือกตั้งที่บอกว่าบริสุทธิ์ยุติธรรม ไม่มีการซื้อสิทธิขายเสียง ป่าวประกาศว่าได้รับเลือกมาจากเสียงอันบริสุทธ์ของประชาชน  ไม่จริงหรอกครับ.. ข้อเท็จจริง ใครก็ตามที่อยากจะเป็น ส.อบต., สท., สจ., สส. ล้วนมีนายคุ้มหัวทั้งสิ้น และต้องพยากรณ์ให้ถูกว่าจะเกาะนายคนไหนดี นายคนไหนที่มีพรรคมีพวก มีอิทธิพล มีหัวคะแนนเยอะ และมีเงินพอ  ที่จะช่วยฉันให้ได้เข้าไปเป็นนักการเมือง...ดังนั้น วิธีการงานแบบพยากรณ์ จึงเป็นเรื่องสำคัญ...ต้องทายให้ถูก...ทายให้แม่น.... 

การทำงานแบบพยากรณ์ เริ่มเข้าสู่วงการราชการ เมื่อนักการเมืองเริ่มเข้ามาล้วงลูกปรับโยกย้ายตำแหน่งของข้าราชการประจำ โดยเอาคนของตัวเอง เข้ามาดำรงตำแหน่งสำคัญ

ผู้ว่าราชการจังหวัด สมัยพรรคไทยรักไทย..ก็เป็นผู้ว่าฯ ที่เป็นเด็กในโอวาทของพรรคไทยรักไทย แต่พอพรรคประชาธิปัตย์ มาเป็นรัฐบาล ผู้ว่าฯ เก่าก็ถูกย้าย ผู้ว่าฯใหม่ (เด็กในโอวาทพรรคประชาธิปัตย์) ก็เข้ามาแทนที่

ทุกคนรู้ดีอยู่ในอก แต่ไม่กล้าพูดออกมาว่า "สังคมไทย มันเป็นเช่นนี้จริงๆ"

ต่อไป...ใครอยากเป็นผู้ว่าฯ ก็ต้องพยากรณ์ให้ถูกว่า จะเกาะใคร รับใช้ใคร เป็นเด็กในโอวาทของใคร

เมื่อผู้ว่าฯ ใช้การทำงานแบบพยากรณ์ ลูกน้องก็ทำบ้าง ลูกน้องเริ่มเกาะนักการเมือง เริ่มเกาะคนที่คิดว่าจะได้เป็นใหญ่ในอนาคต   เพราะหวังว่า สักวัน เมื่อนายข้าฯ เป็นใหญ่ ข้าฯ ก็จะได้เป็นใหญ่ตามไปด้วย

เดี่ยวนี้ ข้าราชการระดับเด็กๆ รุ่นใหม่บางคน แทนที่จะคิดเรื่องว่า "จะทำงานอย่างไร ให้ประชาชนอยู่ดีมีสุข จะทำอย่างไรให้งานมีประสิทธิภาพและบรรลุผลสำเร็จ"  แต่กลับคิดว่า "จะไปเป็นหน้าห้องใครดี รับใช้นายคนไหนดี หรือจะติดตามนักการเมืองดี"  หากความคิดข้าราชการรุ่นใหม่เป็นอย่างนี้แล้ว ผู้ที่รับกรรมก็คือ ประเทศไทย

วิธีการทำงานแบบพยากรณ์ จะมีผลเสียดังนี้ 
  1. คนที่ทำงานด้วยวิธีนี้ จะไม่สนใจเรื่องงานในหน้าที่ของตนเองเท่าที่ควร สนใจแต่เรื่องที่จะต้องรับใช้นาย คำนึงถึงแต่ประโยชน์ของนาย จึงทำให้งานในหน้าที่หย่อนประสิทธิภาพลง
  2. คนที่ทำงานด้วยวิธีนี้ หากอยู่ในตำแหน่งฝ่ายอำนวยการ หรือฝ่ายเสนาธิการ มักจะทำงานผิดพลาด เพราะมักไม่ค่อยเขียน ปัญหา ข้อเท็จจริง ข้อพิจารณา และเสนอหนทางเลือกให้นาย (ซึ่งเป็นไปตามหน้าที่)  มักจะชอบเข้าไปถามนายเลยว่าจะเอาอย่างไร?  แล้วกลับมาเขียนให้ตรงใจนาย  งานที่ออกมาจึงไม่ค่อยมีประสิทธิภาพ 
  3. คนที่ทำงานเก่ง มีฝีมือ จะท้อแท้และหมดกำลังใจในการทำงาน เพราะเห็นว่าวิธีการทำงานที่เขาเชื่อมาตลอด  ไม่ได้ทำให้ตำแหน่งหน้าที่เขาสูงขึ้น  ส่งผลให้งานในหน้าที่และงานที่ได้รับมอบลดประสิทธิภาพลง
  4. เกิดความแตกแยกในองค์กร และขาดคนทำงาน เกิดวัฒนธรรมการทำงานแบบ "ไม่สั่ง ไม่ทำ ไม่คิด และไม่แสวงหางาน" 
  5. องค์กรจะไม่มีจุดยืนในการทำงาน เพราะต้องทำงานสนองตอบตามนโยบายของนายแต่ละคนที่เปลี่ยนไป เพื่อสนองตอบต่อนายอีกระดับชั้นที่สูงกว่า วิสัยทัศน์และแผนยุทธศาสตร์ขององค์กร  จึงถูกพับเก็บเอาไว้ ไม่ได้นำออกมาใช้
คนที่ทำงานด้วยวิธีการพยากรณ์  มักจะเจริญก้าวหน้าในตำแหน่ง มากกว่าคนที่ทำงานเก่งมีฝีมือ แต่ประจบสอพลอไม่เป็น ดังนั้น ใครที่เป็นเจ้านายหรือผู้บังคับบัญชา พึงต้องระมัดระวังและไตร่ตรองเรื่องนี้ให้ดี  ต้องดูคนให้ออกว่า "ใครทำงานแบบพยากรณ์"  "ใครทำงานแบบใช้ฝีมือ"

เมื่อเขียนถึงตรงนี้แล้ว ทำให้ผมนึกถึงคำพูดของอาจารย์ของผมท่านหนึ่ง ท่านได้เคยกล่าวเอาไว้ว่า

"สุนัขกับเห็บเป็นของคู่กัน เห็บชอบเกาะสุนัขอ้วน สุนัขอ้วนก็รู้ว่าเห็บเกาะ แต่ไม่รู้จะเอามันออกอย่างไร เห็บก็รู้ดีว่าจะเกาะที่ตรงไหนถึงจะปลอดภัย ...แล้วเห็บจะไปเอง เมื่อสุนัขผอมโซ"

เขียนโดย จุฑาคเชน 5 ส.ค.2553