วันอังคารที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2554

หนังสือ “พระมหากษัตริย์นักพัฒนา เพื่อประโยชน์สุขสู่ปวงประชา”































สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ได้จัดทำหนังสือ “พระมหากษัตริย์นักพัฒนา เพื่อประโยชน์สุขสู่ปวงประชา” เพื่อร่วมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 7 รอบ 5 ธันวาคม 2554 เพื่อเผยแพร่ให้ประชาชนและหน่วยงานทั่วไปได้ซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และดำเนินตามรอยพระยุคลบาท โดยนำไปประยุกต์ใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาประเทศและตนเองต่อไป

หนังสือเล่มนี้มีความหนา 304 หน้า จัดพิมพ์ 4 สีทั้งเล่ม นำเสนอเนื้อหาสาระเกี่ยวกับหลักการทรงงานและแนวพระราชดำริในการพัฒนาประเทศของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ตลอดจนประโยชน์สุขที่เกิดขึ้นแก่ประชาชน จากผลการพัฒนาตามแนวพระราชดำริ และการน้อมนำแนวพระราชดำริมาใช้ในชีวิต โดยแบ่งการนำเสนอออกเป็น 6 ส่วน ได้แก่
  • ส่วนที่ 1 ภาพรวมหลักการทรงงาน ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
  • ส่วนที่ 2 โครงการส่วนพระองค์ สวนจิตรลดา ห้องทดลองในพระราชวัง
  • ส่วนที่ 3 แนวพระราชดำริในการพัฒนาประเทศ และการน้อมนำไปสู่การปฏิบัติ
  • ส่วนที่ 4 ประโยชน์สุขสู่ปวงประชา ประกอบด้วยบทสัมภาษณ์ของผู้ที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับประโยชน์จากแนวพระราชดำริ
  • ส่วนที่ 5 พระเกียรติคุณเกริกไกร
  • ส่วนที่ 6 บทสรุป พระมหากษัตริย์นักพัฒนาผู้ทรงพระคุณอันยิ่งใหญ่ ตลอดเวลา 65 ปีแห่งการครองราชย์
หากสถาบันการศึกษาหรือห้องสมุดใดมีความประสงค์จะร่วมเผยแพร่พระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สามารถติดต่อได้ที่กลุ่มงานประชาสัมพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โทร. 02-280-4085 ต่อ 1303-1305


**************************************

วันจันทร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2554

รำลึก 7 ปีสึนามิ และอนุสาวรีย์ที่รอการปรับปรุง

วันนี้..วันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ.2554  ขณะที่ผมเริ่มเขียนบทความนี้คือเวลา 10:02 น. ช่วงเวลานี้เมื่อ  7 ปีแล้วมีผู้คนเสียชีวิตและสูญหายไปแล้วจำนวนนับกว่า 5,000 คน จากเหตุการณ์คลื่นยักษ์สึนามิพัดถล่มจังหวัดชายฝั่งทะเลอันดามันของไทย เมื่อ 26 ธันวาคม พ.ศ.2547 

เช้าวันนี้ ครูต้น ตำรวจท่องเที่ยวที่ประจำอยู่เกาะพีพี ซึ่งเคยดำน้ำทำงานกู้ซากปรักหักพังด้วยกันในสมัยกู้ภัยสึนามิ   ได้โทรศัพท์มาแจ้งผมว่า อีกสักครู่จะมีพิธีการวางพวงมาลาไว้อาลัย บริเวณอนุสาวรีย์สึนามิใต้น้ำ อ่าวต้นไทร เกาะพีพี จ.กระบี่  ผมจึงนึกขึ้นได้ว่า วันนี้คือวันที่เกิดโศกอนาฎกรรมครั้งยิ่งใหญ่ของประเทศไทย เมื่อ 7 ปีที่ผ่านมา...ทำไมผมลืมง่ายจริงๆ... 

เพื่อเป็นการรำลึกและไว้อาลัยแด่ดวงวิญญาณของผู้ที่จากไป ผมจึงขอนำคลิบวีดิโอแสดงความเป็นมาเกี่ยวกับการก่อสร้างอนุสาวรีย์สึนามิใต้น้ำ (tsunami undersea memorial) ที่ได้สร้างขึ้นเมื่อ 6 ปีก่อน มาย้อนรำลึกให้ท่านผู้อ่านได้ชมกันอีกครั้ง



และเมื่อสองปีที่แล้ว (พ.ศ.2552) อนุสาวรีย์สึนามิแห่งนี้เกิดการชำรุดเสียหายมาก ผมและทีมงานได้รับมอบหมายให้ไปทำการสำรวจความเสียหายดังกล่าวแล้วนำกลับมารายงานให้ผู้ใหญ่ที่เกี่ยวข้องทราบ  โดยผลการสำรวจ เป็นไปตามคลิบวีดิโอ..ดังนี้



หลังจากนั้น คณะทำงานฯ โดยมี ผศ.ศรีศักดิ์ พัฒนวศิน ผู้เชี่ยวชาญด้านสถาปัตยกรรม จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ซึ่งเป็นลูกศิษย์ดำน้ำของผมเอง)  ได้ช่วยเสียสละเวลาออกแบบร่างในการบูรณซ่อมแซมอนุสาวรีย์ใต้น้ำ ตามแผ่นภาพด้านล่างนี้

ดาวน์โหลดข้อมูล
http://www.4shared.com/office/NPkM0QxO/
tsunami_memorial_renovation-sc.html





















ผมทราบว่า มีผู้ใหญ่ใจดีบางท่าน...กำลังพยายามผลักดันให้มีการบูรณะ ซ่อมแซม อนุสาวรีย์สึนามิใต้น้ำ  บริเวณอ่าวต้นไทร เกาะพีพี จ.กระบี่แห่งนี้ ให้กลับมาคงสภาพเช่นเดิม  แต่เสียงของท่านอาจเบาเกินไป และวันนี้...อนุสาวรีย์คงชำรุดไปกว่าเดิมอีกมาก  ผมอยากให้ อนุสาวรีย์สึนามิใต้น้ำ (tsunami undersea memorial) แห่งนี้ถูกบันทึกไว้เป็นหน้าประวัติศาสตร์ และเป็นสถานที่สำคัญในการรำลึกและไว้อาลัยแด่ดวงวิญญาณ ผู้จากไปในเหตุการณ์ครั้งนั้น...ชั่วนิรันดร์

ผมขอนำบทกลอนไว้อาลัยบทหนึ่งซึ่งจารึกไว้บนแท่นหินใต้น้ำที่อนุสาวรีย์สึนามิแห่งนี้ ประพันธ์โดยนางสร้อยทิพย์ ไตรสุทธิ์ ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากผู้หญิงชาวต่างชาติคนหนึ่งที่เดินทางมาตามหาลูกในเหตุการณ์ครั้งนั้น  ดังนี้

"ด้วยพลัง อันยิ่งใหญ่ ในความรัก
ได้ประจักษ์ พาพานพบ สบความหวัง
อันเลือนหาย จากชีวิต จิตภวังค์
แม้หนทาง ยังไม่เห็น จะเป็นไป

จงหลับเถิด หลับซะ นะลูกรัก
ลูกจงพัก  ในละหาน ธารน้ำใส
แม่มารับ  ลูกแล้ว แก้วดวงใจ
ขอลูกไซร้ หลับสนิท นิจนิรันดร์"


วันนี้..อนุสาวรีย์สึนามิใต้น้ำ
ยังคงตั้งตระหง่านอยู่ภายใต้ท้องทะเล..ที่เดิม
ต่างกันตรงที่..เขาเริ่มชำรุดทรุดโทรมลงไปมากแล้ว
แต่เขาก็ยังคงรอ...รอการบูรณะซ่อมแซมอยู่อย่างเงียบๆ 
และยังเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง


******************************
เขียนโดย สุชาต จันทรวงศ์
ประธานชมรมกีฬาทางน้ำ ศูนย์กีฬากรมการทหารช่าง
26 ธันวาคม พ.ศ.2554 (ครบรอบ 7 ปีเหตุการณ์สึนามิในประเทศไทย)

วันศุกร์ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2554

แก้รัฐธรรมนูญแล้ว...ประเทศไทยจะมีอะไรดีขึ้นบ้าง

วันนี้..นักการเมืองสร้างเรื่องราวเกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 อีกแล้ว สร้างเรื่องสร้างข่าวให้ออกมาเป็นประเด็น "Talk of  the  Town" ดึงความความสนใจของสื่อมวลชน ประชาชน กลุ่มการเมืองต่างๆ รวมทั้งชาวเครือข่ายสังคมออนไลน์ทั้งหลายให้ไปสนใจการแก้ไขรัฐธรรมนูญ  จะได้ไม่มีเวลามาสนใจในเรื่องอื่นๆ ที่รัฐบาลกำลังทำ เช่น การเจรจาตกลงกันเพื่อฮุบผลประโยชน์ของชาติด้านพลังงานหรือเมกกะโปรเจคต์ที่กำลังขับเคลื่อนกันอยู่ 

ที่มาของภาพ
http://chaoprayanews.com/
ตั้งแต่คณะราษฎร ยึดอำนาจและเปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศไทยมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2475 จนถึงวันนี้ ประเทศไทยมีรัฐธรรรมนูญมาแล้วถึง 18 ฉบับ และฉบับที่กำลังใช้อยู่นี้ คือ รัฐธรรมนูญแห่งพระราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550  ซึ่งร่างโดย สสร.2  และประชาชนก็ลงประชามติยอมรับกว่า 14 ล้านเสียง แต่วันนี้ นักการเมือง ออกมาบอกว่าต้องปรับปรุงแก้ไขกันอีกแล้ว โดยหาเหตุผลสารพัดขึ้นมาเป็นข้ออ้าง 

ผมไม่ได้คัดค้าน ถ้าหากรัฐธรรมนูญมีอะไรไม่ดีก็สามารถแก้ไขได้ แต่ผมยังไม่เห็นว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้ จะทำลายวิถีทางประชาธิปไตยของคนไทยแต่อย่างใด  เพียงแต่เขาอาจจะขัดขวางวิธีการหากิน วิธีการแสวงหาอำนาจ หรือวิธีการดำรงชีพของพวกนักการเมืืองกันเองตากห่าง นักการเมืองจึงคิดอยากจะแก้ไขเขาอยู่ตลอดเวลา

ปัญหาประเทศไทยไม่ได้อยู่ที่รัฐธรรมนูญ
รัฐธรรมนูญ คือกฏหมายสูงสุดในการปกครองประเทศ  กฏหมายอื่นใดจะขัดแย้งกับรัฐธรรมนูญไม่ได้ แต่ปัญหาวันนี้ไม่ได้อยู่ที่รัฐธรรมนูญ เพราะรัฐธรรมนูญเป็นแค่เพียงตัวหนังสือที่เขียนเอาไว้  หากใครไม่ทำอะไรไปขัดแย้งก็ไม่เห็นจำเป็นต้องไปแก้ไข  สาเหตุที่ประเทศไทยต้องมีรัฐธรรมนูญถึง 18 ฉบับ เหตุเพราะบางวรรค บางมาตรา ในรัฐธรรมนูญ อาจไปขัดขวางผลประโยชน์บางอย่างของพวกนักการเมืองหรือกลุ่มที่มีอำนาจในขณะนั้น จึงต้องมีการแก้ไขกันอยู่บ่อยๆ  หลักในการคิดของพวกนักการเมืองมีอยู่ง่ายๆ ก็คือ

"หากอยากจะทำในสิ่งที่กฏหมายห้าม ก็ต้องแก้กฏหมายฉบับที่ห้ามไว้นั่นเอง"

สรุปได้ว่า ปัญหาประเทศไทย ไม่ได้อยู่ที่รัฐธรรมนูญ แต่อยู่ที่ "นักการเมือง"


แก้รัฐธรรมนูญแล้ว ประเทศไทยจะมีอะไรดีขึ้นบ้าง?
  • ประเทศไทยจะปลอดจากการทุจริต คอรัปชั่น ฉ้อราษฎร์บังหลวงของบรรดานักการเมือง ข้าราชการ และพ่อค้า  
  • การเลือกตั้งจะเป็นไปด้วยความซื่อสัตย์สุจริต  ปลอดการขายสิทธิ์ ซื้อเสียง
  • ขบวนการล้มเจ้า หมิ่นสถาบันและเปลี่ยนแปลงการปกครองจะหายสาบสูญไปจากประเทศไทย
  • คนไทยจะมีความเสมอภาคและเท่าเทียมกัน มีความเป็นอยู่และคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
  • ข้าวปลาอาหาร น้ำ นม เนื้อ ไข่ สินค้าอุปโภค บริโภค จะถูกลง
  • ประเทศไทยของเราจะได้นักการเมืองที่มีอุดมการณ์ มีคุณภาพ เห็นแก่ประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเป็นหลัก
  • ปัญหาน้ำท่วม ภัยแล้ง ภัยหนาว ซ้ำซาก จะหมดไปจากประเทศไทย
  • ประเทศไทยจะปลอดจากยาเสพติด และสิ่งของมึนเมาทั้งหลาย
  • คนไทยจะมีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน คดีอาชญากรรมต่างๆ จะลดลง ตำรวจ อัยการ และศาล แทบจะไม่มีงานให้ทำ ในเรือนจำก็ไม่มีนักโทษ
  • จังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทยจะกลับคืนสู่ความสุข ความสงบและความผาสุกเช่นเดิม
  • ประเทศไทยจะไม่มีผู้บุกรุกทำลายป่า ลุกล้ำพื้นที่อุทยานแห่งชาติและพื้นที่ราชพัสดุ 
  • ชาวนา ชาวสวน ชาวไร่จะร่ำรวยขึ้น  เป็นอาชีพที่มีเกียรติและศักดิ์ศรีของสังคม ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลูกค้าโรงรับจำนำ และลูกหนี้ธนาคาร
  • ร้านโชว์ห่วย และตลาดนัดจะกลับมาผงาดเหมือนเดิม ธุรกิจห้างค้าส่งค้าปลีกขนาดใหญ่ จะซบเซา
  • ประเทศไทยจะเป็นผู้นำและผู้สร้างเทคโนโลยี ไม่ใช่แค่ผู้ที่ซื้อเทคโนโลยีเขามาใช้
  • ประเทศไทยจะผลิตรถยนต์ รถมอเตอร์ไซต์  คอมพิวเตอร์ กล้องถ่ายรูป  ฯลฯ ที่เป็นยี่ห้อของเราได้เอง 
  • ประเทศไทยจะเป็นเจ้าของพลังงานเอง คนไทยจะได้ใช้พลังงานราคาถูก ทั้งไฟฟ้า ประปา น้ำมัน  และก๊าซ  
  • คนไทยจะเสียค่าอินเตอร์เน็ต ค่าโทรศัพท์มือถือ  ค่าการสื่อสาร ค่าเคเบิลทีวี ในราคาถูกลงและเป็นธรรม
  • คนไทยจะเสียค่ารถเมล์  รถตู้ รถแท๊กซี่ รถไฟฟ้า รถใต้ดิน ค่าด่านผ่านทาง ค่าทางด่วน ถูกลง
  • เด็กและเยาวชนของไทยจะเป็นคนที่มีคุณภาพ รักในศิลปะ วัฒนธรรม ประเพณีที่ดีงามของคนไทย และเป็นกำลังสำคัญของประเทศ
  • การศึกษาของไทยจะมีคุณภาพมากขึ้น
  • คนไทยจะกลายเป็นเจ้าของโรงงาน  แทนการเป็นแค่พนักงานโรงงาน
  • ฯลฯ
ประเทศไทย ยังมีเรื่องราวให้ทำอีกมากมาย...มากกว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
ทำไม? ต้องเสียเงินงบประมาณ  2,000 ล้านบาท ไปใช้ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญในครั้งนี้
ประเทศไทยมีเงินเหลือเฟือขนาดนั้นเชียวหรือ

อันผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน
แม้นใช้ความเป็นใหญ่
เพื่อประโยชน์และความผาสุกของประชาชน
ซื่อตรงต่อวิชาชีพของตน
ย่อมเป็นขวัญใจของประชาชนชั่วกาลปาวสาน 


************************************  
จุฑาคเชน : 23 ธ.ค.2554


ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์สู่ชนบท ปีที่ 23 ฉบับที่ 392 ประจำเดือนมกราคม พ.ศ.2555 หน้า 3



วันอาทิตย์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ส่งท้ายปีเก่า-ใครควรเป็นบุคคลแห่งปี 2011 ของประเทศไทย

คณะบรรณาธิการของนิตยสารไทม์ (TIME) ตัดสินใจเลือก “The Protester” หรือ “ผู้ประท้วง” เป็น “บุคคลแห่งปี 2011” ผู้ซึ่งลุกขึ้นมาเรียกร้องความยุติธรรม ถูกต้องเป็นธรรม ประชาธิปไตย และ สิทธิของการดำรงชีวิตในวิถีที่ตนมีสิทธิจะเลือก

ที่มาของภาพ
http://www.time.com/
ในช่วงสองทศววรรษที่ผ่านมา ความเบ่งบานของกระแสประชาธิปไตยและเศรษฐกิจทุนนิยมของชาติตะวันตก ได้เข้ามาครอบงำโลก หลอกหล่อให้ประชาชนเพลิดเพลินไปกับเสรีภาพจอมปลอม และการใช้จ่ายอย่างฟุ้งเฟ้อเกินตัว มีหนี้สินล้นพ้นตัว จนละทิ้งอุดมการณ์เอาไว้เบื้องหลัง ในปี ค.ศ.2011 เริ่มเปิดศักราชแห่งการประท้วงจากประเทศอียิปต์และตูนีเซียสามารถโค่นล้มผู้นำเผด็จการได้สำเร็จอย่างไม่น่าเชื่อ  หลังจากนั้นจึงก่อให้เกิดปรากฏการณ์โดมิโน ลุกฮือต่อต้านรัฐบาลไปทั่วโลก จากตะวันออกกลาง จนแอฟริกาเหนือ ไล่จากแอลจีเรีย ซีเรีย จอร์แดน ลิเบียร์ บาห์เรน เยเมน ไปจนถึงอิหร่าน จนเกิดวลีที่เรียกว่า "Arab Spring" 

คำว่า “ผู้ประท้วง” นี้ กินความไปถึงการต่อต้าน “ทุนนิยมสุดขั้ว” ในอเมริกาที่เริ่มด้วยรูปแบบการยึดย่านวอลล์สตรีท “Occupy Wall Street” ที่ขยายตัวเป็นการยึดสถานที่ของทางการในรัฐต่างๆ ในอเมริกาอย่างกว้างขวาง เพื่อแสดงออกถึงความไม่พอใจของผู้ที่รู้สึกว่าถูกเอาเปรียบในสังคม และกติกาที่ถูกกำหนดโดยคนเพียงกลุ่มเดียว ในเม็กซิโก ผู้ประท้วงออกมาต่อต้านกลุ่มมาเฟียค้ายาเสพติดที่รัฐบาลไม่กล้าเข้าไปจัดการ ส่วนผู้ประท้วงในกรีซ ออกมารวมตัวกันเพื่อต่อต้านผู้นำทางการเมือง ที่ไร้ความรับผิดชอบต่อวิกฤติหนี้อันรุนแรง และสุดท้ายเร็วๆ นี้ ผู้ประท้วงในรัสเซีย ออกมาเดินตะโกนขับไล่การโกงการเลือกตั้งอย่างไม่อายฟ้าดินกับการผูกขาดอำนาจอยู่ในคนกลุ่มเดียว

นิตยสารไทม์ บอกว่า ประเทศที่มีการประท้วงต่างๆ เหล่านี้ มีประชากรรวมกันถึง 3 พันล้านคน หรือเรียกได้ว่าครึ่งหนึ่งของประชากรโลก นั่นย่อมมีความหมายว่า "ผู้คนจำนวนมหาศาลกำลังประกาศไม่ยอมรับกติกาเก่า พร้อมที่จะเสี่ยงภัยและเสี่ยงชีวิตเพื่อเรียกร้อง กดดัน และเผชิญหน้า เพื่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลง ในสิ่งที่คนส่วนใหญ่พึงประสงค์"




ภาพผู้ประท้วงบางส่วนจากบุคคลแห่งปี 2011
ที่มา http://www.time.com/



Thailand Spring
ที่มาของภาพ
http://www.time.com/
รัฐบาลชุดปัจจุบันกำลังนำพาประเทศไทยไปสู่เศรษฐกิจทุนนิยมโดยปล่อยให้กองทุนข้ามชาติเข้ามาทำมาหากินอย่างเสรีในประเทศไทย เข้าครอบงำระบบเศรษฐกิจและพลังงาน ผ่านอำนาจเผด็จการเสียงข้างมากในรัฐสภา ผ่านนโยบายประชานิยม สร้างประชาชนให้เป็นหนี้สิ้น เข้าควบคุมศูนย์รวมอำนาจการปกครองและองคาพยพต่างๆ ของประเทศไทยไว้โดยสิ้นเชิง ใช้อำนาจที่มีอยู่ทำสิ่งที่ไม่ถูกต้องให้กลายเป็นสิ่งที่ถูกต้อง 

รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ฯ เข้ามาบริหารประเทศตั้งแต่ต้นเดือนสิงหาคม 2554 เป็นต้นมา เวลานี้เกือบจะ 5 เดือนแล้ว แทบจะไม่มีผลงานและคุณูปการใดๆ ให้แก่ประเทศชาติเลย มีแต่สร้างความเสียหาย และสร้างความคลางแคลงใจให้แก่ประชาชน สร้างเรื่องราวอื้อฉาวแต่การที่จะช่วย นช.ทักษิณฯ พี่ชายตนเองและพรรคพวก  การกระทำหลายอย่างของรัฐบาลส่อให้เห็นถึงการขาดความสามารถในการบริหารประเทศ  อาทิ
  • การบริหารจัดการน้ำท่วมที่ล้มเหลวและไร้ประสิทธิภาพ ตั้งแต่การจัดคนไม่เหมาะสมกับงาน มีการแบ่งกลุ่ม แบ่งพวก การแก้ปัญหาไม่เป็นไปในทางเดียวกัน ไม่ทันเวลา  แสวงโอกาสในการหาเสียง เลือกการปฏิบัติ ทุจริตคอรัปชั่นฯ  ส่งผลให้ประเทศไทยต้องเสียหายกว่า 1 ล้านล้านบาท แม้จนวันนี้ ยังไม่มีหน่วยงานใดทำการศึกษาถึงสาเหตุของการเกิดน้ำท่วมใหญ่ที่แท้จริงให้ประชาชนทราบแต่อย่างใด 
  • การโยกย้ายญาติพี่น้องตนเองมาดำรงตำแหน่ง ผบ.ตร. โดยใช้วิธีรังแกข้าราชการประจำ
  • ไม่สนใจเรื่องที่ประเทศไทยกำลังมีกรณีข้อพิพาทกับประเทศกัมพูชาเรื่องการสูญเสียพื้นที่ตามแนวชายแดน 4.6 ตารางกิโลเมตร แต่กลับเดินหน้ากระชับความสัมพันธ์กับประเทศกัมพูชา (อย่างผิดปกติ) นอกจากนั้น ยังไม่ยอมหาทางช่วยเหลือคนไทยที่ถูกขังอยู่ในประเทศกัมพูชาคืนกลับประเทศไทย
  • มีการประชุมลับเพื่อพิจารณา พ.ร.ฎ.พระราชทานอภัยโทษ โดยจะให้เอื้อประโยชน์แก่ นช.ทักษิณ ชินวัตร ให้ได้รับการอภัยโทษด้วย จนประชาชนต้องออกมาประท้วง คัดค้านจนรัฐบาลต้องยกเลิกไป
  • มีการพยายามร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม เพื่อเอื้อประโยชน์ให้ นช.ทักษิณฯ และพรรคพวก พอถูกคัดค้านจากประชาชนก็จะเปลี่ยนชื่อเป็น พ.ร.บ.ปรองดองแห่งชาติ
  • ในสมัยรัฐบาลชุดนี้ มีเว็บไซต์ คลิบวีดิโอ เครือข่ายสังคมออนไลน์ หนังสือ เอกสาร ใบปลิว และการกระทำที่หมิ่นต่อสถาบันมหากษตริย์ เกิดขึ้นอย่างมากมายจนผิดปกติ
  • มีการการสั่งระงับการแสดงแสง สี เสียง และสื่อผสมฯ เพื่อเฉลิมพระเกียรติฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ อย่างไม่มีเหตุผล
  • มีการจงใจลงรูปผิดใน Facebook ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ฯ นายกรัฐมนตรี
  • ปล่อยให้คดีอากง ที่หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ขยายผลขึ้นมาเป็นการแก้ไขประมวลกฏหมายอาญามาตรา 112 ซึ่งเกี่ยวกับการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ  นอกจากนั้นยังปล่อยให้ชาวต่างชาติเข้ามาแทรกแซงวิพากษ์วิจารณ์กฏหมายและขบวนการยุติธรรมของเรา โดยรัฐบาลไม่แสดงท่าทีที่ชัดเจนแต่อย่างใด ลอยตัวอยู่เหนือปัญหาจนประชาชนต้องออกมาแสดงการประท้วง ต่อต้านและคัดค้านกันเอง
  • มีการแอบออกพาสปอร์ตให้ นช.ทักษิณฯ โดยใช้อำนาจที่มีอยู่บังคับให้ข้าราชการประจำดำเนินการ ทั้งๆ ที่รู้ว่าเป็นเรื่องที่ผิดกฏหมาย 
  • การเกิดสถานการณ์วางระเบิดหน้ากองสลากและทั่วเมืองอีก 3 จุดช่วงใกล้ปีใหม่ สร้างบรรยากาศให้ประชาชนขวัญผวา เสียภาพลักษณ์ในสายตาของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ซึ่งประชาชนก็ยังกังขาว่าเป็นเรื่องจริง หรือเป็นแค่เกมการเมือง ที่รัฐบาลจัดฉากขึ้นมา    
  • รัฐบาลไม่เคยให้ความสนใจในเรื่องที่เฮลิคอปเตอร์ของกองทัพเรือที่ถูกทหารประเทศกัมพูชายิงเสียหาย และไม่พยายามที่จะทำหนังสือประท้วงหรือแสดงความเคลื่อนไหวใดๆ ที่จะปกป้องอำนาจอธิปไตยของชาติ
  • รัฐบาลไม่เคยหยิบยกประเด็นปัญหาความไม่สงบชายแดนภาคใต้ขึ้นมาหารือ หรือพิจารณาหาแนวทางแก้ไขแต่อย่างใด  ทำเหมือนกับไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น ทั้งๆ ที่ทหาร เจ้าหน้าที่ และประชาชนต้องอยู่ในภาวะเสี่ยงอันตรายอยู่ทุกวัน
  • รัฐบาลปล่อยให้มีการจัดตั้ง "หมู่บ้านคนเสื้อแดงเพื่อประชาธิปไตย" กันอย่างแพร่หลาย โดยไม่สนใจต่อระบบการปกครองที่มีอยู่เดิม และยังมีเป้าหมายจะตั้งให้ครบ 30,000 หมู่บ้านภายใน 1 ปี ข้างหน้าอีกด้วย
  • น.ส.ยิ่งลักษณ์ฯ ขาดภูมิรู้เพียงพอที่จะอยู่ในสถานะนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย ร่วมทั้งขาดความรับผิดชอบต่อเรื่องสำคัญของชาติบ้านเมืองในฐานะนายกรัฐมนตรี มักให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชน โดยอ้างว่า ไม่รู้ ไม่ทราบ เป็นเรื่องของกระทรวง และผู้ที่รับผิดชอบ และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ฯ ยังโกหกประชาชนจนถูกจับได้หลายครั้ง       
  • ฯลฯ
เหตุการณ์ที่สรุปมาส่อให้เห็นได้ว่า รัฐบาลไม่ค่อยให้ความสำคัญต่อความคิดเห็นของประชาชน เห็นประชาชนเป็นคนที่ไม่ค่อยฉลาด รัฐบาลอยากจะทำอะไรก็ทำได้ แล้วใครจะมาทำอะไรกับรัฐบาล? เพราะเขาถือว่าอำนาจอยู่ในมือของเขาหมดแล้ว และในปีหน้าการทุจริตคอรัปชั่นอย่างมโหฬารกำลังจะเกิดขึ้นจากจากงบฟื้นฟูและเยียวยาหลังน้ำท่วมอีกกว่า 1 ล้านล้านบาท... นึกย้อนถึงข้อความบนหน้าปกของนิตยสารไทม์ฉบับเดือนธันวาคม 2554 ที่เขียนไว้ว่า 

"From Arab Spring to Athen, From Occupy Wall street to Moscow"

ไม่แน่ว่าในปี พ.ศ.2555 (ค.ศ.2012) ข้างหน้านี้
อาจจะเกิดวลีที่เรียกว่า "Thailand Spring" ก็ได้


ใครควรเป็นบุคคลแห่งปี 2011 ของประเทศไทย
นิตยสารไทม์ จัดให้ The Protester หรือผู้ประท้วงเป็นบุคคลแห่งปี 2011  ผมจึงอยากลองเสนอความคิดเห็นดูบ้างว่า (ในทัศนะส่วนตัวนะครับ) ใครสมควรที่จะได้รับการยกย่องเป็นบุคคลแห่งปีของประเทศไทย ในปี พ.ศ.2554 (ค.ศ.2011) นี้

สถานการณ์ของประเทศไทยใน พ.ศ.2554 โดยเฉพาะในครึ่งปีหลัง ค่อนข้างล่อแหลมจากกลุ่มอำนาจที่ประสงค์จะล้มล้างสถาบันกษัตริย์และเปลี่ยนแปลงการปกครองของประเทศไทยไปในระบอบที่ต้องการ และประเทศไทยยังต้องพบกับมหาอุทกภัยที่สร้างความเสียหายอย่างมหาศาล "บุคคลแห่งปี" ของประเทศไทยในปีนี้ ผมขอแสดงความชื่นชมและขอเสนอกลุ่มบุคคลต่างๆ เหล่านี้ ให้เป็นบุคคลแห่งปี 2011 ของประเทศไทย อันได้แก่  
  • กลุ่มบุคคลที่ออกมาเคลื่อนไหวเพื่อปกป้องสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์
  • กลุ่มบุคคลที่ออกมาเคลื่อนไหวต่อต้านขบวนการล้มเจ้า
  • กลุมบุคคลที่ออกมาเคลื่อนไหวต่อต้านขบวนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
  • กลุ่มบุคคลที่ออกมาตรวจสอบและต่อต้านการทุจริต คอรัปชั่น
  • กลุ่มบุคคลที่ออกมาปกป้องและต่อต้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
  • กลุมบุคคลที่ออกมาปกป้องการสูญเสียอาณาเขตของราชอาณาจักรไทยกรณีเขาพระวิหาร
  • กลุ่มเครือข่ายสังคมต่างออนไลน์ต่างๆ  ที่ออกมาปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ ต่อต้านขบวนการล้มเจ้า ต่อต้านระบอบทักษิณ ต่อต้านนักการเมืองชั่ว ต่อต้านการทุจริตและคอรัปชั่น
  • กลุ่มเครือข่ายสังคมออนไลน์ ที่ช่วยกันรายงานสถานการณ์น้ำท่วมได้อย่างกว้างขวาง รวดเร็ว ทันเหตุการณ์
  • กลุ่มประชาชนผู้มีจิตอาสาที่ออกมาช่วยเหลือประชาชนผู้ประสบอุทกภัย ทั้งกำลังกายและกำลังทรัพย์
  • กลุ่มทหารจากกองทัพบก เรือ อากาศ มูลนิธิการกุศล ที่เป็นกำลังหลักและกำลังสำคัญในการช่วยเหลือและบรรเทาอุทกภัย
  • กลุ่มสื่อมวลชนและคอลัมนิสต์ (ที่ยังมีจรรยาบรรณ) ในการนำเสนอข้อมูลข่าวสาร บทความ เรื่องจริงให้แก่ประชาชนได้รับทราบ รวมทั้งยังต้องเหน็ดเหนื่อยในการติดตามเฝ้ารายงานสถานการณ์น้ำท่วมให้แก่ประชาชนได้รับทราบอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา 
ขอขอบคุณกลุ่มบุคคลเหล่านี้ ด้วยจิตคารวะ หากเราไม่มีกลุ่มบุคคลเหล่านี้ช่วยกันทำงาน ช่วยกันประท้วง ต่อต้าน คัดค้าน และคานอำนาจต่อรัฐบาลของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ฯ แล้ว วันนี้ประเทศไทยยังไม่รู้ว่าจะเป็นอะไร ประชาชนอาจจะถูกต้มจนสุกแล้ว  เหมือนกับ "ทฤษฎีต้มกบ" ที่ ดร.อาทิตย์  อุไรรัตน์ กล่าวไว้ว่า........

"ชาวไอริชคนหนึ่งทำการเปรียบเทียบปฏิกิริยาตอบสนองของกบ โดยเอากบตัวหนึ่งใส่ลงไปในน้ำร้อน ปรากฏว่ามันรีบกระโดดหนีทันที รอดมาได้อย่างหวุดหวิด แต่สำหรับกบอีกตัวหนึ่งที่ถูกใส่ลงไปน้ำปกติ มันก็จะเล่นอย่างสบายใจเฉิบ แล้วเขาค่อยๆ เพิ่มความร้อนเข้าไปทีละนิดทีละหน่อย ในตอนแรก มันก็จะปรับตัวให้เข้ากับอุณหภูมิที่ร้อนขึ้น โดยไม่รู้ว่าภัยร้ายใกล้จะมาถึงตัวแล้ว และเมื่อน้ำร้อนได้ที่แล้ว มันก็กลายเป็นกบต้มสุก ไม่สามารถหนีรอดออกมาได้ กว่าจะรู้ตัวก็สายไปเสียแล้ว" (อ่านเพิ่มเติม)


รัฐบาลพยายามจะใช้อำนาจ
สร้างความถูกต้องชอบธรรมให้แก่ตนเองและพรรคพวก
แต่ผมยังมีความเชื่อว่า "ความถูกต้อง" เท่านั้นควรจะเป็นอำนาจที่แท้จริง

ในปีหน้า.. รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ฯ และนักการเมือง (ที่ไม่ค่อยดี)  จะย่ามใจมากกว่านี้ น้ำที่ต้มกบ (ประชาชนคนไทย) จะถูกเพิ่มอุณหภูมิให้สูงขึ้น

"Thailand Spring"

สุดท้ายในโอกาสส่งท้ายปีเก่า พ.ศ.2554 และต้อนรับปีใหม่ พ.ศ.2555 นี้
"ผมขอให้อาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัย อำนาจแห่งพระสยามเทวาธิราช และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย รวมทั้งพระบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ ได้โปรดดลบันดาลและพระราชทานพร ให้แก่กลุ่มบุคคลต่างๆ ที่ผมกล่าวมาแล้ว จงมีอุดมการณ์ที่แน่วแน่ สติมั่นคง ปัญญาสว่างไสว มีพลานามัยแข็งแรงสมบูรณ์ เพื่อที่จะเป็นกำลังสำคัญในการต่อสู้กับ ใครก็ตาม? ที่ต้องการทำลายสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ อันเป็นที่รักยิ่งของพวกเรา"


***********************

ที่มาข้อมูล

วันพฤหัสบดีที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ตั้งสติ ใช้ปัญญา..มาตรา 112 ควรยกเลิกหรือไม่?

กรณีนายอำพล ตั้งนพคุณ อายุ 61 ปี ซึ่งถูกตั้งฉายาว่า "อากง"  ถูกศาลอาญาพิพากษาจำคุก 20 ปี เมื่อวันที่ 23 พ.ย.2554   กรณีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ตามประมวลกฏหมายอาญา มาตรา 112  และพ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14(2)(3)  ส่งผลให้มีบุคคลบางกลุ่มออกมาต่อต้านคำตัดสินว่าแรงเกินไป มีการออกมาแถลงข่าวไม่เห็นด้วย รวมทั้งมีการเดินรณรงค์ให้ปล่อยตัวอากง และยกเลิกประมวลกฏหมายอาญา มาตรา 112 และมีการชักนำให้ชาวต่างชาติให้เข้ามาแทรกแซงวิพากษ์วิจารณ์กระบวนการยุติธรรมของประเทศไทย

ประมวลกฏหมายอาญามาตรา 112 มีอะไรผิดปกติ
ไม่ว่า "อากง" จะทำผิดจริงหรือว่าถูกใส่ร้าย หรือว่า "อากง" เป็นแค่คนแก่คนหนึ่งที่ถูกขบวนการล้มเจ้าจับบูชายันต์  เพื่อเป็นชนวนนำไปสู่การแก้ไขหรือยกเลิกมาตรา 112  ก็ตาม พวกเราคงต้องตั้งสติ และใช้ปัญญา พิจารณาหาเหตุผลกันว่าประมวลกฏหมายอาญามาตรา 112 มีอะไรผิดปกติ หรือทำลายประเทศไทยอย่างไร ถึงต้องมีการยกเลิกหรือเรียกร้องให้แก้ไข  

ความคิดของกลุ่มรณรงค์ยกเลิกมาตรา 112
     


กลุ่มพวกนี้ เห็นว่า กฎหมายมาตรา 112 คือ กฎหมายที่ขัดต่อหลักเสรีภาพและหลักความเสมอภาคในระบอบประชาธิปไตย เป็นกฎหมายที่ละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นคนของประชาชน และเป็นกฎหมายที่อยุติธรรมต่อประชาชน  กล่าวคือ
  • อยุติธรรมเนื่องจากว่า มันทำลายเสรีภาพในการตรวจสอบ “บุคคลสาธารณะ” ที่ใช้ภาษีของเรา
  • อยุติธรรมเนื่องจากว่า มันสามารถลงโทษประชาชน เนื่องจากการกระทำความผิดด้วย “คำพูด” เพียงไม่กี่คำ โดยการจำคุกได้ ถึง 20 ปี
  • อยุติธรรมเนื่องจากว่า มันเปิดให้ใครไปแจ้งความก็ได้ ก่อให้เกิดการใช้กฎหมายหมิ่นฯ ทำลายล้างกันทางการเมือง เป็นเงื่อนไขของการอ้างสถาบันทำรัฐประหาร เป็นเครื่องมือล่าแม่มด สร้างบรรยากาศของความขัดแย้ง และความหวาดกลัว ในหมู่ประชาชนที่รักเสรีภาพ และความยุติธรรม ในฐานะประชาชน
ที่ผมเอาคลิบวีดีโอมาให้ชมนี้ ก็เพื่อเป็นข้อมูลให้แก่ผู้อ่านในการใช้ปัญญาเพื่อพิจารณาไตร่ตรองต่อไป

ควรยกเลิกประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 หรือไม่ ?
ผมได้ไปอ่านบทความที่ผมคิดว่าสามารถอธิบายเรื่องมาตรา 112 ได้ดีที่สุดในขณะนี้  เขียนไว้ในบทความพิเศษ เมื่อวันที่ 7 ธ.ค.2554 ในเว็บไซต์ของ น.ส.พ.แนวหน้า โดยท่านขวัญชัย รัตนไชย ซึ่งอดีตเคยเป็นนักเรียนโรงเรียน ภ.ป.ร. ราชวิทยาลัย รุ่นแรก จบกฎหมายจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เคยรับราชการเป็นผู้พิพากษาและเป็นอาจารย์พิเศษสอนในมหาวิทยาลัย ปัจจุบันยังคงทำงานด้านกฎหมายอยู่ และเคยได้รับทุนฟูลไบรท์ไปศึกษาวิชากฎหมายที่ประเทศสหรัฐอเมริกาซึ่งถือเป็นประเทศประชาธิปไตยเต็มรูปแบบของโลก  ท่านได้เสนอความเห็นในเรื่องนี้ ได้น่าฟังอย่างยิ่ง

ความเห็นด้านกฏหมายของท่าน
ข้อ 1. ประเทศไทยกำหนดห้ามหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ไว้ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และห้ามหมิ่นประมาทบุคคลธรรมดาไว้ในมาตรา 326 ความว่า
  • มาตรา 112 ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี
  • าตรา 326 ผู้ใดใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สาม โดยประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง ผู้นั้นกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาท ต้องระวางโทษจำคุก ไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ข้อแตกต่างของความผิดฐานหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์กับบุคคลธรรมดาประการแรกก็คือ
  • มาตรา 112 เป็นความผิดอาญาแผ่นดิน ซึ่งหมายความว่ารัฐเป็นผู้เสียหายและเจ้าหน้าที่ของรัฐจะต้องดำเนินการกับผู้กระทำความผิด
  • ส่วนมาตรา 326 เป็นความผิดอันยอมความได้หรือความผิดต่อส่วนตัวซึ่งถ้าไม่มีผู้เสียหายไปแจ้งความร้องทุกข์กล่าวโทษเจ้าหน้าที่รัฐก็จะไม่ดำเนินคดีให้
เหตุที่บัญญัติไว้แตกต่างกันเช่นนี้เพราะไม่มีประเทศใดในโลกที่ประมุขของรัฐจะไปฟ้องร้องกล่าวโทษพลเมืองของตนเอง หากยกเลิกมาตรา 112 ก็เท่ากับเป็นการจำกัดสิทธิประมุขแห่งรัฐไม่ให้สามารถคุ้มครองตนเองจากการถูกหมิ่นประมาทได้

ยิ่งกว่านั้นการ " หมิ่นประมาท " หมายความว่า ใส่ความโดยไม่เป็นความจริงในลักษณะที่ทำให้ผู้ได้ยินได้ฟังเกลียดชังผู้ถูกใส่ความซึ่งเป็นการกระทำอันชั่วร้ายผิดศีลธรรม การยกเลิกมาตรา 112 มีผลทำให้ประมุขของรัฐซึ่งถูกจำกัดสิทธิที่จะคุ้มครองตนเองโดยฐานะของตนในทางพฤตินัยไม่ได้รับความคุ้มครองและเสียสิทธิที่จะปกป้องตนเองในทางนิตินัยไปพร้อมกันด้วย
 
ข้อ 2.กฎหมายอาญาของไทยเป็นกฎหมายที่มีความเป็นสากล กล่าวคือ ให้ความคุ้มครองประมุขของรัฐต่างประเทศและผู้แทนของรัฐต่างประเทศด้วยดังจะเห็นได้จากมาตรา 133 และ มาตรา 134 ซึ่งบัญญัติไว้ว่า
  • มาตรา 133 ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่นหรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายราชาธิบดี ราชินี ราชสามี รัชทายาท หรือประมุขแห่งรัฐต่างประเทศ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงเจ็ดปีหรือปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงหนึ่งหมื่นสี่พันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
  • มาตรา 134 ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่นหรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายผู้แทนรัฐต่างประเทศซึ่งได้รับแต่งตั้งให้มาสู่พระราชสำนัก ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงห้าปีหรือปรับตั้งแต่หนึ่งพันบาทถึงหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ "
ถ้ายกเลิกมาตรา 112 ผลตามกฎหมายก็คือ ประเทศไทยให้ความคุ้มครองประมุขแห่งรัฐต่างประเทศแต่ไม่คุ้มครองประมุขของตนเองซึ่งเป็นเรื่องผิดวิสัยของอารยประเทศอย่างยิ่ง

หากจะยกเลิกมาตรา 133 และมาตรา 134 ไปพร้อมกับมาตรา 112 ผลก็คือประเทศไทยจะกลายเป็นประเทศป่าเถื่อนในสายตาสังคมโลกและไม่มีประเทศที่เจริญแล้วประเทศใดในโลกคบค้าสมาคมด้วย เพราะไม่ให้เกียรติแก่ประมุขของเขาซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์แห่งเกียรติยศสูงสุดของประเทศเหล่านั้น

ข้อ 3. ในสังคมระหว่างประเทศมีหลักในการอยู่ร่วมกันข้อหนึ่งคือหลักถ้อยทีถ้อยปฏิบัติโดยเท่าเทียมกัน ( Reciprocity ) กฎหมายของประเทศที่เจริญแล้วในโลกไม่ว่าจะมีประมุขเป็นพระมหากษัตริย์ หรือประธานาธิบดี หรือเรียกชื่ออื่นใดก็ตาม ย่อมถือว่าประมุขของประเทศใดเป็นตัวแทนหรือสัญลักษณ์ของประเทศนั้น แต่ละประเทศจะให้ความคุ้มครองสูงสุดแก่ประมุขของตนและให้ความคุ้มครองแก่ประมุขของประเทศอื่น เพื่อประเทศอื่นจะได้ให้ความคุ้มครองแก่ประมุขของตนเองด้วยแล้ว ย่อมมีผลทำให้ประเทศไทยต่ำต้อยกว่าประเทศอื่นใดในสายตาชาวโลก

ข้อ 4. ประมุขของประเทศใดก็ตามย่อมถือเป็นเกียรติยศสูงสุดของประเทศนั้น หากประมุขของประเทศใดไร้เกียรติพลเมืองของประเทศนั้นย่อมต่ำต้อยไร้ค่ากว่าพลเมืองของประเทศอื่นในโลก ถ้าคนไทยยังรักที่จะเป็นคนที่มีเกียรติก็จะต้องรักษาเกียรติยศแห่งสถาบันพระมหากษัตริย์ในฐานะประมุขของประเทศไว้สูงสุดจึงจะทำให้คนไทยมีเกียรติเหมือนพลเมืองชาติอื่นในโลก

ข้อ 5. ประมุขของแต่ละประเทศทั้งที่ได้รับการเลือกตั้งหรือโดยการแต่งตั้ง ล้วนแต่เป็นผู้ที่ถูกคัดเลือกขึ้นเพื่อให้เป็นสัญลักษณ์แห่งเกียรติยศ ขวัญและกำลังใจของประเทศนั้นๆ ความภาคภูมิใจของพลเมืองในประเทศที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขนั้นก็คือ พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุขได้รับการคัดเลือกจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหนือธรรมชาติ ( Supernatural ) ทำให้เชื่อมั่นได้ว่าเป็นผู้มีบุญญาธิการและประกอบคุณงามความดีมาก่อน สิ่งศักดิ์สิทธิ์เหนือธรรมชาติจึงคัดเลือกให้มาเป็นประมุข

การแก้ไขกฎหมายใดๆ โดยไม่ได้ศึกษาถึงผลกระทบทั้งภายในประเทศและในสังคมระหว่างประเทศ รวมทั้งโดยไม่คำนึงถึงหลักนิติธรรมอาจทำให้บรรลุเป้าหมายด้านผลประโยชน์ของบุคคลบางคนบางกลุ่มแต่ก่อให้เกิดความหายนะใหญ่หลวงแก่ประชาชนส่วนใหญ่และประเทศชาติ

ตามที่ท่านขวัญชัย รัตนไชย ได้เขียนความเห็นมานี้ คงไม่ต้องอธิบายอะไรเพิ่มเติมแล้ว เพราะท่านอธิบายไว้ชัดเจน  เพียงแต่กลุ่มคนที่กำลังรณรงค์ให้มีการยกเลิกมาตรา 112 นี้จะมีสติปัญญาเพียงพอที่จะคิดทบทวน แล้วสำนึกกลับตัวกลับใจได้หรือไม่?  

ผมว่า "อากง" เป็นแค่คนแก่คนหนึ่งที่ถูกขบวนการล้มเจ้าจับบูชายันต์...เพื่อสังเวยในความหลงผิดของพวกมัน เรื่องก็มีอยู่เท่านี้เอง....

อันผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน
แม้นว่าหูเบาเชื่อคำโฆษณาชวนเชื่อแต่ฝ่ายเดียว
มิได้ตรวจสอบให้รู้เท็จจริงโดยรอบคอบ
นอกจากงานแผ่นดินจะเสียหายแล้ว
ตัวเองยังเป็นอันตรายด้วย

*************************************
จุฑาคเชน  15 ธ.ค.2554

อ่านเพิ่มเติม ข้อแตกต่างระหว่าง อภัย: ศานติชัยในพม่า กับฝ่ามืออากง

ที่มาข้อมูล

วันพุธที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ข้อแตกต่างระหว่าง อภัย: ศานติชัยในพม่า กับฝ่ามืออากง

ตามที่นายอำพล ตั้งนพคุณ หรือ "อากง" อายุ 61 ปี ถูกตัดสินจำคุก 20 ปี คดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ตามประมวลกฏหมายอาญามาตรา 112 และพ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2551 มาตรา 14 (2) และ (3) จนก่อให้เกิดการรณรงค์แคมเปญ "ฝ่ามืออากง" เพื่อให้เกิดการปล่อยตัวอากง และยกเลิกกฏหมายอาญามาตรา 112

ซึ่งแคมเปญ "ฝ่ามืออากง" นี้ ริเริ่มโดยนายปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ นักวิชาการจากสถาบันเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษาแห่งสิงคโปร์ ผ่านทางเฟซบุ๊ค โดยให้สัมภาษณ์ว่าได้แรงบันดาลมาจากงานของ  JAMES MACKAY ช่างภาพสารคดีชาวอังกฤษที่สร้างผลงานชิ้นหนึ่งในประเทศพม่าที่ชื่อว่า "ABHAYA BURMA'S FEARLESSNESS"


งานของ James Mackay
เจมส์ แมคคาย นักข่าวช่างภาพสารคดีชาวอังกฤษที่อุทิศเวลากว่า 5 ปีในการตามถ่ายภาพอดีตนักโทษการเมืองของพม่าโดยเดินทางไปทั่วพม่าและประเทศต่างๆ ทั่วโลกที่อดีตนักโทษเหล่านี้อาศัยอยู่ ซึ่งเจมส์สนใจศึกษาพระพุทธศาสนา และเรื่องอภัยมุทราซึ่งมีความหมายว่าปราศจากความกลัว  ตั้งแต่สมัยที่เขาทำวิทยานิพนธ์ที่อังกฤษ

เจมส์ แมคคาย กล่าวว่า สิ่งที่เป็นหัวใจสำคัญในผลงานชิ้นนี้ของเขา คือ
  • การเขียนชื่อนักโทษการเมือง (ที่ยังถูกคุมขังอยู่) ต้องเขียนบนมือขวาเท่านั้น ด้วยลายมือของเจมส์ฯ เอง
  • ผู้ถูกเขียนชื่อและถ่ายภาพต้องเป็นอดีตนักโทษการเมืองเท่านั้น และเจมส์ฯ จะป็นผู้ถ่ายภาพด้วยตนเองทุกภาพ   
  • เวลาถ่ายภาพมือขวาต้องอยู่ในตำแหน่งการยืนในท่าอภัยมุทรา (ซึ่งคล้ายกับพระพุทธรูปปางประทานอภัย)
  • เจมส์ถือว่าการยืนในท่าอภัยมุทราเป็นหัวใจสำคัญสำหรับงานของเขา  เพราะพระพุทธศาสนามีบทบาทสำคัญมากในพม่า และเขาต้องการเชื่อมโยงงานของเขากับอัตลักษณ์นี้ของพม่า 
เจมส์ กล่าวว่า งานของเขาไม่ใช่การรณรงค์ทางการเมือง แต่งานของเขาเป็นสารคดีที่ต้องการบันทึกเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ และบอกเล่าเรื่องราวเหล่านี้สู่สายตาชาวโลกผ่านฝีมือการถ่ายภาพของเขาเท่านั้นเอง


ความแตกต่างของ "ฝ่ามืออากง"
  • การเขียนชื่อ "อากง" เขียนบนมือซ้าย มือขวา เขียนที่ไหนหรือบนอะไรก็ได้ จะเขียนเองก็ได้หรือให้คนอื่นเขียนให้ก็ได้
  • อากง ไม่ใช่นักโทษการเมือง เป็นเพียงคนที่ทำผิดกฏหมายมาตรา 112
  • ผู้รณรงค์เป็นใครก็ได้ (ของเจมส์ฯ ต้องเป็นอดีตนักโทษการเมือง) 
  • การถ่ายภาพไม่ต้องอยู่ในตำแหน่งการยืนในท่าอภัยมุทรา  ถ่ายท่าอะไรก็ได้ตามสะดวก
  • ภาพที่ถ่ายใครจะถ่ายก็ได้ แล้วส่งผ่านมาทาง Facebook   (แต่เจมส์ฯ  ถ่ายด้วยตัวเองทุกภาพ)
  • ฝ่ามืออากงมีการเขียนหรือเพ้นไว้บนร่างกาย  แต่ของเจมส์ฯ ไม่มี
  • งานของเจมส์ฯ เป็นงานสารคดีทางประวัติศาสตร์  แต่ฝ่ามืออากงเป็นงานรณรงค์ทางการเมือง

ฝ่ามืออากง

ข้อแตกต่างระหว่าง
อภัย: ศานติชัยในพม่า (ABHAYA BURMA'S FEARLESSNESS) กับฝ่ามืออากง ก็คือ
"ปรัชญาของเรื่องราวที่ต้องการนำเสนอนั้น แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง"

คนไทยเรามักจะชอบ COPY มาเฉพาะเปลือกนอก แก่นแท้ที่สำคัญกลับไม่นำมา
บ้านเราจึงมักมีเรื่องราวอะไรต่อมิอะไร ที่มันผิดเพี้ยนให้เห็นอยู่เสมอ....

ชมคลิบวีดีโอประกอบ




*************************
จุฑาคเชน : 14 ธ.ค.2554

อ่านเพิ่มเติม ตั้งสติ ใช้ปัญญา..มาตรา 112 ควรยกเลิกหรือไม่?
ที่มาข้อมูล

วันอาทิตย์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2554

งบดุลอัปยศ...สหกรณ์ออมทรัพย์ครูราชบุรี เจ็บต่อไปอีก 9 ปี

(ควรอ่านประกอบกับหนังสือรายงานกิจการประจำปี 2555 ของสหกรณ์ออมทรัพย์ครูราชบุรีจำกัด)
****************************************************************


เมื่อวันที่ 10 ธ.ค.2554 มีการประชุมใหญ่สามัญประจำปีครั้งที่ 1/2555 ของสหกรณ์ออมทรัพย์ครูราชบุรีจำกัด โดยมีวาระสำคัญคือ พิจารณาอนุมัติงบดุลและงบกำไรขาดทุน ประจำปี 2554 และการถอดถอนคณะกรรมการดำเนินการสหกรณ์ฯ ชุดที่ 54 เนื่องจากนำเงินของสหกรณ์ฯ ไปลงทุนซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาล โดยไม่ถูกต้อง และถูกบริษัทฯ ตัวแทนจำหน่าย โกงเงินไปจำนวน 678,700,000 บาท  ซึ่งคณะกรรมการดำเนินการสหกรณ์ฯ ชุดที่ 54 พยายามที่จะให้ตัวเองหลุดพ้นจากความรับผิดชอบต่อเงินจำนวน 678,700,000 บาทดังกล่าวที่ถูกโกงไป จึงพยายามหาวิธีนำมาเขียนเอาไว้ในงบดุล และงบกำไรขาดทุน ประจำปี 2554  ซึ่งหากสมาชิกพิจารณารับรองและอนุมัติเป็นอันว่า คณะกรรมการดำเนินการสหกรณ์ฯ ชุดที่ 54 นี้จะพ้นมลทิน 

คำชี้แจงของนายวนพ ลิขิตวรรณการ ผู้สอบบัญชี
สาระสำคัญที่นายวนพ ลิขิตวรรณการ ผู้สอบบัญชีสรุปไว้ในย่อหน้าสุดท้าย  (หน้าที่ 48)  มีดังนี้
  • สหกรณ์ได้ดำเนินธุรกิจจัดหาสลากกินแบ่งรัฐบาลมาจำหน่ายไม่เป็นไปตาม พ.ร.บ.สหกรณ์ พ.ศ.2542 มาตรา 33(1) และไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของการจัดตั้งสหกรณ์
  • ณ วันที่ 31 ส.ค.2554 ซึ่งเป็นวันปิดงบดุล สหกรณ์มีหนี้ค้างอยู่กับตัวแทนจำหน่าย (หมายถึง บจก.เทวาสิทธิ พิฆเนศ) จำนวน 678,700,000 บาท
  • สหกรณ์จึงโอนเงินจำนวน 678,700,000 บาทไปเป็นลูกหนี้เงินลงทุนสลากกินแบ่งรัฐบาล (ซึ่งปรากฏอยู่ในงบดุล)
คำชี้แจงดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า "สิ่งที่ไม่ถูกต้อง" ไม่ควรที่จะไปปรากฎในงบดุล แต่ลองดูภาพที่ 1 ประกอบ งบดุลปี 2554 มีลูกหนี้เงินลงทุนสลากกินแบ่งรัฐบาล-สุทธิ ปรากฏอยู่ในสินทรัพย์หมุนเวียน เป็นเงินจำนวน 563,321,000 บาท (ซึ่งในปี 2553 ไม่เคยปรากฏรายการนี้แต่อย่างใด)


ภาพที่ 1

ทำไมเงิน 678 ล้านบาทเหลือปรากฏในงบดุลเพียง 563 ล้านบาท
เหตุที่เงินหายไปนี้ หากไปอ่านในคำชี้แจงหมายเหตุประกอบงบดุลข้อ 7 (หน้า 59) ในปี 2554 นี้เขาได้หักค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ-ลูกหนี้เงินลงทุนสลากกินแบ่งรัฐบาลไปแล้ว จำนวน 115,379,000 บาท ดังนั้นเงินจึงเหลือปรากฏแค่เพียง 563,321,000 บาทนั่นเอง (ดูภาพที่ 2 ประกอบ) นั่นหมายถึงสหกรณ์ฯ ต้องจ่ายเงินหนี้ที่สงสัยจะสูญ ซึ่งไม่ได้เกิดจากการดำเนินงานที่ถูกต้องไปถึง 115,379,000 บาท (เงินส่วนนี้ควรจะเป็นเงินกำไรของสหกรณ์มากกว่า)

ภาพที่ 2

ความเจ็บช้ำของสหกรณ์ ในอีก 9 ปีข้างหน้า
ไม่ว่าสหกรณ์ออมทรัพย์ครูราชบุรี จะดำเนินกิจการมีรายได้มากน้อยขนาดไหน สหกรณ์ฯ ก็ยังต้องจ่ายค่าเผื่อหนี้จะสูญฯ อย่างนี้ต่อไปอีก 9 ปีจนกว่าจะหมด  ซึ่งเป็นไปตามหนังสือของกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ ที่ กษ.0404/6843 ลงวันที่  8 ธันวาคม 2254  สรุปดังนี้

ยอดเงินค่าเสียหาย 678,700,000 บาท
  • ปีที่ 1 คือปี  2554 ให้หักค่าเผื่อมูลค่าความเสียหาย 17% เป็นเงิน 115,379, 000 บาท ซึ่งได้หักแล้วตามที่ปรากฏในงบกำไรขาดทุนเล่มนี้ (ดูหน้า 51)
ช่วงปีที่ 2-3 ช่วงที่สหกรณ์เริ่มฟื้นตัว
  • ปีที่ 2 คือ ปี 2555 ให้หักค่าเผื่อมูลค่าความเสียหาย 4% เป็นเงิน 27,148,000 บาท
  • ปีที่ 3 คือ ปี 2556 ให้หักค่าเผื่อมูลค่าความเสียหาย 7% เป็นเงิน 47,509,000 บาท
ช่วงปีที่ 4-9
  • ปีที่ 4 คือ ปี 2557 ให้หักค่าเผื่อมูลค่าความเสียหาย 10% เป็นเงิน 67,870,000 บาท
  • ปีที่ 5 คือ ปี 2558 ให้หักค่าเผื่อมูลค่าความเสียหาย 10% เป็นเงิน 67,870,000 บาท
  • ปีที่ 6 คือ ปี 2559 ให้หักค่าเผื่อมูลค่าความเสียหาย 10% เป็นเงิน 67,870,000 บาท
  • ปีที่ 7 คือ ปี 2560 ให้หักค่าเผื่อมูลค่าความเสียหาย 10% เป็นเงิน 67,870,000 บาท
  • ปีที่ 8 คือ ปี 2561 ให้หักค่าเผื่อมูลค่าความเสียหาย 10% เป็นเงิน 67,870,000 บาท
  • ปีที่ 9 คือ ปี 2562 ให้หักค่าเผื่อมูลค่าความเสียหาย 10% เป็นเงิน 67,870,000 บาท 
ปีที่ 10 (ปีสุดท้าย)
  • ปีที่ 10 คือ ปี 2563 ให้หักค่าเผื่อมูลค่าความเสียหายที่เหลือทั้งหมด เป็นเงิน 81,444,000 บาท 
หากการจ่ายเงินเผื่อมูลค่าความเสียหายครบ 10 ปีเป็นไปตามนี้ ก็จะสามารถจำหน่ายเงินจำนวน 678,700,000 บาทที่ถูกโกงไป ออกจากบัญชีได้หมดพอดี


อนาคตของสหกรณ์ฯ
ในวันที่ 10 ธันวาคม 2554 มีการรณรงค์ไม่พิจารณารับรองงบดุลและงบกำไรขาดทุน ประจำปี 2554 แล้วไฉนกลับมีการอนุมัติและรับรอง  ช่วงบ่ายวันนั้นสมาชิกฯ ได้รับเงินปันผลโอนเข้าบัญชีอย่างรวดเร็วถ้วนหน้า แสดงว่าคณะกรรมการดำเนินการสหกรณ์ฯ ชุดที่ 54 ปิดงบดุลได้สำเร็จ สมาชิกรับรองงบดุลฯ  ผลการจากการรับรองงบดุลในวันนั้นทำให้สหกรณ์ออมทรัพย์ครูราชบุรี  เหมือนถูกคำสาปไปอีก 9 ปี
  • ไม่ว่าคณะกรรมการดำเนินกิจการสหกรณ์ฯ ชุดใหม่จะหารายได้ได้มากเท่าไหร่ ก็ต้องมีค่าใช้จ่ายในการหักค่าเผื่อมูลค่าความเสียหายทุกปี ตลอด 9 ปี (ตามที่แจกแจงให้ทราบ)  แทนที่เงินเหล่านี้จะมาเป็นกำไรสุทธิเพื่อปันผลให้สมาชิก กลับต้องทยอยจ่ายหนี้จนกว่าจะหมด  678,700,000 บาท ทั้งที่หนี้จำนวนนี้เป็นหนี้ที่สหกรณ์ฯ ไม่ได้เป็นคนก่อขึ้นและเป็นหนี้ที่ไม่ถูกต้อง เพราะเกิดจากการทำผิดวัตถุประสงค์ของคณะกรรมการดำเนินกิจการสหกรณ์ฯ ชุดที่ 54 
  • กรมตรวจบัญชีสหกรณ์ ที่ออกหนังสือผ่อนผันมา 10 ปีนั้น  มีอำนาจสามารถทำได้หรือไม่ เพราะเป็นการออกหนังสือเพื่อช่วยเหลือผู้กระทำความผิด เพราะหนี้ที่เกิดขึ้นไม่เป็นไปตาม พ.ร.บ.สหกรณ์ พ.ศ.2542 มาตรา 33(1) และไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของการจัดตั้งสหกรณ์ 
  • สมาชิกฯ ผู้ถือหุ้น จะยอมรับได้หรือไม่ เพราะเงินที่น่าจะเป็นกำไรสุทธิเพื่อนำมาเป็นเงินปันผล กลับต้องถูกหักไปเป็นค่าใช้จ่ายล่วงหน้าเผื่อหนี้สูญเป็นเวลาถึง 9 ปีในอนาคต โดยมียอดรอจ่ายอยู่ให้เห็นๆ และในปีที่ 10 (พ.ศ.2563)  ต้องหักเป็นค่าใช้จ่ายสูงถึง  81,444,000 บาท
  • หากกิจการในแต่ละปีของสหกรณ์ฯ เกิดแย่ลง หารายได้ไม่เพียงพอจะหักไปจ่ายเป็นหนี้สูญฯ   สมาชิกฯ ก็คงอาจไม่ได้เงินปันผลหรืออาจได้น้อยลง ดังเช่นตัวอย่างในครั้งนี้ (ดูหน้า 68) เมื่อปี พ.ศ. 2553 มีเงินกำไรสุทธิ 119,758,721.53 บาท (ได้เงินปันผลร้อยละ 4.55 ต่อปี)   แต่พอมาปี 2554  เหลือเงินกำไรสุทธิ เพียง 54,309,202.83 บาท (ได้เงินปันผลร้อยละ 2.15 ต่อปี-สาเหตุที่กำไรสุทธิน้อยลงเพราะถูกหักเป็นหนี้สูญปีที่ 1 จำนวน 115,379,000 บาท นั่นเอง) ...แล้วปีต่อไปจะเป็นอย่างไร
  • หากเงินจำนวน 678,700,000 ได้คืนกลับมาในเร็ววัน คำสาป 9 ปีก็จะถูกถอนไป แต่การดำเนินคดีระหว่าง สหกรณ์ออมทรัพย์ครูราชบุรี --> คณะกรรมการดำเนินกิจการสหกรณ์ฯ ชุดที่ 54 --> บริษัท เทวาสิทธิ พิฆเนศ จำกัด จะจบลงในอีกกี่ปีไม่มีใครทราบ และหากคดีจบแล้วเงินจำนวน 678,700,000 จะได้คืนมาครบหรือไม่ ก็ไม่มีใครทราบเช่นกัน 
  • ในหมายเหตุประกอบงบดุลข้อ  7 (ตอนท้ายๆ ของหน้า 59) ระบุชัดเจนว่า "นับตั้งแต่ปีบัญชีสิ้นสุดวันที่ 31 สิงหาคม 2554 เป็นต้นไป ซึ่งจะทำให้สหกรณ์สามารถจ่ายเงินปันผลให้แก่สมาชิกในอัตราไม่ต่ำกว่าร้อยละ 2.15  แต่อย่างไรก็ตามหากสหกรณ์สามารถบริหารจัดการด้านการดำเนินธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ สหกรณ์ก็อาจจ่ายเงินปันผลให้แก่สมาชิกได้ ในอัตราไม่ต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 1 ปีเฉลี่ย 5 ธนาคารพาณิชย์ (ร้อยละ 2.85) บวกด้วย 0.50 บาท" ....นี่คือภาระท้าทายที่รออยู่ของคณะกรรมการดำเนินการสหกรณ์ฯ ในชุดต่อๆ ในอีก 9 ปีข้างหน้า
  • ฯลฯ

บรรทัดฐานใหม่เกิดขึ้นแล้วในวงการสหกรณ์
ตำนานเงิน 678,700,000 บาทที่สหกรณ์ออมทรัพย์ครูราชบุรี ต้องสูญเสียไปโดยการดำเนินการที่ผิดพลาดของคณะกรรมการดำเนินกิจการสหกรณ์ชุดที่ 54  กลายเป็นบรรทัดฐานใหม่ของวงการสหกรณ์ ฯ ซึ่งจะเป็นตัวอย่างให้แก่สหกรณ์อื่นๆ และคณะกรรมการดำเนินกิจการสหกรณ์ฯ ชุดต่างๆ สามารถลอกเลียนแบบได้  หากมีการทุจริตหรือผิดพลาดต่อไปในภายหน้าก็สามารถใช้วิธีการแก้ปัญหาทางบัญชีเช่นนี้ฟอกตัวเองได้สำเร็จ... 

ไม่ว่าการดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้องต่อไปจะเป็นอย่างไร
แต่วันนี้และอีก 9 ปีข้างหน้า ความเจ็บช้ำก็ยังตกอยู่กับ
สมาชิกสหกรณ์ออมทรัพย์ครูราชบุรี...ทุกคน      

*************************************
จุฑาคเชน : 12 ธ.ค.2554


หนังสือรายงานกิจการประจำปี 2555
(1 ก.ย.2553-31 ส.ค.2554)
ของสหกรณ์ออมทรัพย์ครูราชบุรี จำกัด
(หน้ารองปกใน)
 
   

วันอังคารที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2554

การระงับการแสดงเฉลิมพระเกียรติฯ รัฐบาลควรตอบให้กระจ่างกว่านี้

ผู้เขียนไม่ใช่คนที่คอยจ้องจะจับผิดรัฐบาล   แต่ช่วงนี้รู้สึกว่ารัฐบาลทำอะไรแปลกๆ ตั้งแต่การตั้งใจบริหารจัดการน้ำท่วมให้ล้มเหลว การออก พ.ร.ฎ.อภัยโทษ การออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรม การออกพาสสปอร์ตแดง การจงใจใส่ภาพผิดบน Facebook  การปล่อยให้เว็บไซต์หมิ่นสถาบันออกมาเผยแพร่มากมายจนผิดหูผิดตา การพิพากษาจำคุกอากง จนเกิดกลุ่มนักเขียนออกมารณรงค์ต่อต้าน มาตรา 112  การกระทำเหล่านี้ ผู้เขียนรู้สึกเคลือบแคลงและสงสัยเป็นอย่างยิ่งว่า รัฐบาลกำลังคิดอะไรอยู่

และล่าสุด คือ การสั่งระงับการแสดงแสง สี เสียง และสื่อผสม "วัฒนธรรมทองแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ 84 พรรษา มหาราช" และการจัดฉายภาพยนตร์พาโนรามาสื่อผสมเฉลิมพระเกียรติ “84 ปี แห่งความเรืองรองของกรุงรัตนโกสินทร์” เนื่องในวันมหามงคลที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงมีพระชนมายุ 7 รอบ หรือ 84 พรรษา ซึ่งเป็น 2 กิจกรรมที่เป็นจุดเด่นของงาน จากจำนวน 9 กิจกรรม ซึ่งแต่เดิมนั้นได้กำหนดการจัดแสดงระหว่างวันที่ 3 – 9 ธันวาคม พ.ศ. 2554 ปรากฏว่ากิจกรรมดังกล่าวถูกยกเลิกการแสดงอย่างกะทันหันในวันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2554 เวลา 21.30 น. ส่วนกิจกรรมอื่นๆ ยังคงจัดต่อไป

โดยนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการฝ่ายจัดพิธีถวายพระพร ชัยมงคล งานมหรสพสมโภชและนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ ได้ออกมายอมรับว่าได้ยกเลิกกิจกรรมดังกล่าวเอง ด้วยเหตุผลว่า “เพื่อความเหมาะสม เนื่องด้วยประชาชนจำนวนมากยังคงเดือดร้อนจากภาวะน้ำท่วม จึงไม่เหมาะหากมีงานรื่นเริง จึงต้องดูตามความเหมาะสม ต้องประหยัดไม่มากหรือน้อยจนเกินไป หรือที่เรียกว่าทางสายกลางนั่นเอง”  

นอกจากนั้น นางฐิติมา ฉายแสง โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ยังแถลงเมื่อเย็นวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ.2554 ว่า "การสั่งระงับดังกล่าวเป็นความจริง โดยเป็นเรื่องของผู้ใหญ่แนะนำมาว่าในขณะนี้ประเทศไทยยังมีปัญหาน้ำท่วม แต่ การจัดงานดังกล่าวต้องใช้งบประมาณจำนวนมากหลายสิบล้านบาท จึงควรนำงบประมาณไปช่วยแก้ปัญหาน้ำท่วมจะดีกว่า โดยผู้ที่เกี่ยวข้องซึ่งรวมถึงตัวแทนสำนักพระราชวัง ได้ร่วมหารือกันในเรื่องนี้แล้ว"

ความเป็นมาของการแสดง "วัฒนธรรมทองแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ 84 พรรษา มหาราช"
การแสดงชุดนี้ เป็นการแสดงที่สำนักพระราชวังได้เคยจัดแสดงมาแล้ว เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2553–28 กุมภาพันธ์ 2554 เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบูรพกษัตริย์แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ และเฉลิมฉลองใน 3 โอกาสสำคัญ ที่จะนำมาซึ่งความปลื้มปีติของพสกนิกรทุกหมู่เหล่า คือ (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม)
  1. เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษาครบ 84 พรรษา 5 ธันวาคม 2554
  2. เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ในโอกาสที่จะทรงเจริญพระชนมพรรษา 80 พรรษา 12 สิงหาคม 2555
  3. เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร ในโอกาสที่จะทรงเจริญพระชนมายุ 60 พรรษา 28 กรกฎาคม 2555
ต่อจากนั้นการแสดงชุดนี้ ก็ถูกบรรจุต่อมาให้เป็นกิจกรรมหลักเพื่อเฉลิมพระเกียรติฯ ในระหว่างวันที่ 3-9 ธันวาคม 2554 นี้  ดังนั้นงบประมาณต่างๆ ในการจัดงานครั้งนี้ น่าจะถูกตั้งไว้เรียบร้อยแล้ว เพราะเป็นงานในระดับชาติที่ต้องมีการวางแผนล่วงหน้า


คลิบวีดิโอการแสดง "84 ปี แห่งความเรืองรองของกรุงรัตนโกสินทร์"
ที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ สั่งระงับการแสดงไป
ที่มา : http://youtu.be/BbBhRQfEyD8


นางฐิติมา ฉายแสง
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
แถลงระงับการแสดง
ที่มาของภาพ
เดลินิวส์ออนไลน์
http://www.dailynews.co.th/politics/1745
รัฐบาลต้องตอบให้กระจ่าง
ผู้เขียนคิดว่า การชี้แจงถึงสาเหตุการระงับการแสดงของรัฐบาลนั้น ไม่สมเหตุสมผล หากเป็นตามที่รัฐบาลกล่าวอ้างจริงว่าต้องการประหยัดงบประมาณเพื่อเอาไปช่วยน้ำท่วม และไม่อยากให้มีงานรื่นเริง  รัฐบาลควรตอบคำถามเหล่านี้ เพื่อให้ความกระจ่างแก่ประชาชนให้หายเคลือบแคลงสงสัย   
  1. เดิมกำหนดแสดง 7 วัน ลดลงเหลือ 2 วัน รัฐบาลจะประหยัดเงินกลับคืนมาเท่าไหร่?  ตอบ.............
  2. รัฐบาลก็รู้ว่าในการจัดงานระหว่างวันที่  3-9 ธันวาคม พ.ศ.2554  วันที่สำคัญที่สุดของงาน คือวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ.2554  ที่พสกนิกรทุกหมู่เหล่าจำนวนมากจะมาร่วมถวายพระพร หากมีการแสดงต่ออีกสักหนึ่งคืน (คือคืนวันที่ 5 ธ.ค.)  รัฐบาลจะเสียเงินค่าแสดงต่อ 1 คืนเป็นเงินสักเท่าไหร่?  ตอบ..................
  3. รัฐบาลทำไมไม่บอกเขาล่วงหน้าว่าจะระงับการแสดง เพราะน้ำก็ท่วมมาก่อนจะถึงงานแล้ว ตั้งเกือบ 2-3 เดือน แสดงว่ารัฐบาลไม่ได้มีแผนระงับการแสดง มาตั้งแต่แรก  (การแถลงข่าวเมื่อวันที่ 2 ธ.ค.2554 ก็ยังมีการแสดง 2 ชุดนี้อยู่) 
  4. หากรัฐบาลตั้งใจให้เขาแสดงแค่  2 คืน  แล้วทำไม? ไม่บอกเขาให้เปลี่ยนการแสดงเป็นวันที่ 4-5 ธันวาคม พ.ศ.2554 ตั้งแต่แรกเพื่อให้ตรงวันสำคัญของงาน ตอบ...........
  5. การแสดงเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบูรพกษัตริย์แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ และเผยแพร่พระบารมีของในหลวง ทำไม? รัฐบาลจึงมองว่าเป็นงานรื่นเริง  ตอบ...............
จากคำถาม 5 ข้อนี้ ผู้เขียนฟันธงได้เลยว่า "รัฐบาลคงไม่ตอบ"
เพราะรัฐบาลตั้งใจระงับการแสดงชุดนี้ทั้งหมด
และจงใจไม่ให้มีการแสดงชุดนี้ ในคืนวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ.2554 

รัฐบาลเขาคิดว่า แล้วใครจะมาทำอะไรรัฐบาล
รัฐบาลนี้...อยากจะทำอะไรก็ทำได้
แม้จะรู้ว่าที่ทำนั้น ...ไร้ทั้งหลักการและเหตุผลสิ้นดี


*****************************************
จุฑาคเชน : 6 ธันวาคม 2554

วันจันทร์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2554

พระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 วันที่ 5 ธันวาคม 2554


พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9  เสด็จออกมหาสมาคม ณ มุขเด็จ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง พระราชทานพระบรมราชโอกาส ให้พระบรมวงศานุวงศ์ คณะองคมนตรี คณะรัฐมนตรี สมาชิกรัฐสภา คณะทูตานุทูต ข้าราชการ ตลอดจนพสกนิกรทุกหมู่เหล่าเฝ้าฯ  เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษาครบ 7 รอบ 84 พรรษา 5 ธันวาคม 2554

"ขอขอบพระทัย และขอบใจท่านทั้งหลายเป็นอย่างยิ่ง ที่มีไมตรีจิตพรั่งพร้อมกันมาให้พรวันเกิด รวมทั้งให้คำมั่นสัญญาโดยประการต่างๆ  ข้าพเจ้าขอสนองต่อพรและไมตรีจิตทั้งนั้น ด้วยใจจริงเช่นกัน

ท่านทั้งหลายในปีนี้ ผู้อยู่ในตำแหน่งหน้าที่สำคัญทั้งฝ่ายพลเรือนและทหาร ย่อมทราบแก่ใจอยู่ทั่วกันว่า ความมั่นคงของประเทศชาตินั้น จะเกิดมีขึ้นได้ก็ด้วยประชาชนในชาติ อยู่ดีมีสุข ไม่มีทุกข์ยากเข็ญ ดังนั้น การได้อย่างใดที่เป็นความทุกข์เดือดร้อนของประชาชน ทุกคน ทุกฝ่าย จึงต้องถือเป็นหน้าที่ที่จะต้องร่วมมือกันปฏิบัติแก้ไขให้เต็มกำลัง โดยเฉพาะขณะนี้ประชาชนกำลังเดือดร้อนลำบากจากน้ำท่วม จึงชอบที่จะร่วมมือกันปัดเป่าแก้ไขให้ผ่านพ้นไปโดยเร็ว  และจัดทำโครงการบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืน

อย่างเช่นโครงการต่างๆ ที่เคยพูดไปนั้น ก็เป็นการแนะนำไม่ได้สั่งการ แต่ถ้าไปปรึกษากันแล้ว เห็นว่าเป็นประโยชน์ คุ้มค่า และทำได้ ก็ทำ ข้อสำคัญจะต้องไม่ขัดแย้ง แตกแยกกัน หากจะต้องให้กำลังใจซึ่งกันและกัน เพื่อให้งานที่ทำบรรลุผลที่มีประโยชน์เพื่อความผาสุขของประชาชนและความมั่นคงปลอดภัยของประเทศชาติ

ขออำนาจแห่งคุณพระรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จงคุ้มครองรักษาท่านให้ปราศจากทุกข์ ปราศจากภัย และอำนวยความสุขความเจริญให้แก่ท่านทั่วกัน

*******************
ที่มา :  http://youtu.be/w_3_c5JtVsE
ถอดความ : สุชาต จันทรวงศ์

วันอาทิตย์ที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ปริศนาแห่งภาพที่ยิ่งลักษณ์ฯ จงใจทำ

ตามที่ Facebook ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์  ชินวัตร นายกรัฐมนตรีของประเทศไทย ในชื่อ Yingluck Shinawatra (http://www.facebook.com/Y.Shinawatra) ได้โพสต์ในกระดานข้อความเมื่อวันเสาร์ที่ 3 ธันวาคม 2554 เวลา 10:16 น. ว่า "5 ธันวา รวมพลังคนไทย รวมหัวใจถวายพระพรชัยมงคล" แต่ภาพประกอบกลับเป็นพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล (รัชกาลที่ 8) ในพระราชพิธีพระราชทานรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2489


หลังจากโพสต์ประมาณ 9 ชั่วโมง
มีคนถูกใจ 2654 คน


ิ่งลักษณ์ฯ จงใจทำ
งานนี้ชุมชนบนสังคมออนไลน์เริ่มทักท้วง ไปยังทีมงานผู้ดูแล Facebook ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ฯ รวมทั้งวิพากย์วิจารณ์กันว่า เป็นการกระทำที่ไม่น่าผิดพลาด ที่สำคัญ Facebook นี้เป็นของนายกรัฐมนตรีแห่งประเทศไทย จึงไม่น่าจะมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น

ไม่ว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ฯ จะอ้างว่าเป็นความผิดพลาดของทีมงาน ผู้เขียนก็เห็นว่าฟังไม่ขึ้น น.ส.ยิ่งลักษณ์ฯ ต้องรับผิดชอบเพราะเป็น Facebook ที่บอกชัดเจนว่า "Prime Minister Yingluck Shinawatra Official Facebook" ไม่ใช่ facebook ในนามส่วนตัว

ภาพรัชกาลที่ 8  ที่นำมาใช้ประกอบเป็นภาพที่หายากมากในอินเทอร์เน็ต  ดังนั้นจึงเป็นภาพที่ผู้จัดทำตั้งใจ Scan มาจากหนังสือ  จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะผิดพลาดและเข้าใจผิดว่าเป็นภาพรัชกาลที่ 9 เพราะในหนังสือต้องระบุชัดว่าพระราชพิธีอะไร ผู้จัดทำ facebook ระดับนี้ คงอ่านหนังสือออก และเมื่อ Post เข้าไปแล้ว ผู้จัดทำก็ต้องดูผลงานของตนเองที่ Post ขึ้นไปเพื่อตรวจสอบอีกครั้ง จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นความเข้าใจผิด 

ปริศนาแห่งภาพ
ภาพ รัชกาลที่ 8 ที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ จงใจนำขึ้นมาทดแทน ในความเห็นส่วนตัวของผมแล้ว น่าจะจงใจสื่อความหมายว่า "รัชกาลที่ 8 สวรรคตโดยการถูกลอบปลงพระชนม์ด้วยพระแสงปืน จงใจสื่อให้เห็นว่า จงระวังพระองค์ เพราะพระองค์จะทรงเป็นเช่นนี้  นอกจากนั้นเพื่อย้ำเตือนความเชื่อของพวกหมิ่นพระองค์ว่า พระองค์ได้เป็นพระมหากษัตริย์ทุกวันนี้ก็เพราะปลงพระชนม์พระเชษฐา และที่เอาภาพพระราชทานรัฐธรรมนูญมาก็เพื่อสื่อว่าพระองค์ต้องคืนอำนาจให้ประชาชน" 

ใครคิดว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย...แต่ผมไม่คิด
หลังจากเกิดการโพสต์ภาพผิดนานกว่า 9 ชั่วโมงถึงจะมีการแก้ไข แล้วต่อมา น.ส.ยิ่งลักษณ์ฯ ก็สั่งให้นายบัญฑูร สุภัควณิช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ทำหนังสือชี้แจงไปยังสำนักราชเลขาธิการสำนักพระราชวัง เพื่อขอพระราชทานอภัยโทษในความผิดพลาดที่เกิดขึ้น  และของดให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน ในเรื่องนี้โดยให้เหตุผลว่าเป็นช่วงวันมหามงคล

ผมว่าเรื่องนี้มันง่ายเกินไป อย่างนี้ใครๆ ก็ทำได้ ผิดก็ขอโทษกันไป  แต่เรื่องนี้มันเป็นเรื่องหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ผ่าน Facebook ของผู้นำประเทศ  และมันไม่ใช่เรื่องผิดที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ แต่มันเป็นเรื่องผิดที่จงใจกระทำ  หากช่วงนี้เป็นช่วงวันมหามงคลอย่างที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ฯ กล่าว ยิ่งไม่ควรผิดพลาดใหญ่ 

แล้วผู้รักษากฏหมายของประเทศไทย ไม่คิดจะทำอะไรเลยหรือ

น.ส.ยิ่งลักษณ์ ฯ แค่ขอพระราชทานอภัยโทษ เรื่องก็จบ
ทีมงาน Facebook ก็ลอยนวล
พวกขบวนการล้มเจ้าก็หัวเราะเยาะ

ป.ล.หน้าโปรด Facebook นายกรัฐมนตรีไทย
ผมดูที่หน้าโปรดของ  Facebook นายกรัฐมนตรีไทยเมื่อเวลา 09:30 น. เมื่อเช้าวันนี้เอง (5 ธ.ค.2554) ท่านเชื่อไหม มี Facbook ของนักโทษชายหนีคดีทักษิณ ชินวัตร (Thaksinlivedotcom) เป็นหน้าโปรดอยู่ด้วย นอกจากนั้นยังมีหน้าโปรดอีกหลายหน้า ที่น่าสงสัยว่านายกรัฐมนตรีไทยคบหากับคนพวกนี้ด้วยหรือ เช่น     มั่นใจนักศึกษาไทยและคนไทยรัก"คำผกา"    คิดเล่นเห็นต่างกับคำผกา เป็นต้น


บางส่วนของหน้าโปรด
Facebook นายกรัฐมนตรีไทย
น.ส.ยิ่งลักษณ์  ชินวัตร
สืบค้นเมื่อ 5 ธ.ค.54 เวลา 09:30 น.

เรื่องหน้าโปรดนี้ จริงๆ แล้วก็ถือเป็นเรื่องส่วนตัว 
แต่นั่นหมายถึงต้องเป็น Facebook  ของส่วนตัวจริงๆ

แต่นี่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ฯ ใช้ Facebook ในฐานะนายกรัฐมนตรีไทย
ดังนั้นการเพิ่ม Facebook ของนักโทษชายหนีดคี เป็นหน้าโปรด
จึงไม่สมควรกระทำเป็นอย่างยิ่ง   

คนไทยเรา มักชอบปล่อยเรื่องราวให้มันผ่านไปง่ายๆ 
ใครเห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องเล็กเล็ก แต่ผมว่า...มันไม่ใช่?  


**************************************
จุฑาคเชน : 5 ธ.ค.2554

อ่านเพิ่มเติม