วันพฤหัสบดีที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2555

เวลาอีกครึ่งชีวิตที่เหลืออยู่

วันนี้หยิบหนังสือเล่มเก่าเล่มหนึ่งขึ้นมาอ่าน เรื่อง "การบริหารจัดการในศตวรรษที่ 21" เขียนโดย ปีเตอร์ เอฟ ดรัคเกอร์ เมื่อปี ค.ศ.1999  ตอนท้ายเล่มท่านได้เขียนเกี่ยวกับ "เวลาอีกครึ่งชีวิตที่เหลืออยู่"  ถึงแม้ท่านจะเขียนมากว่า 12 ปีแล้ว แต่ ณ ปัจจุบัน ดูเหมือนว่ามันกำลังเกิดขึ้นกับสังคมไทย 

ที่มาของภาพ
http://www.dek-ac.com/knowledge-id27.html
ท่านบอกว่า ผู้บริหารระดับกลางขององค์กรธุรกิจ หรือบรรดาพวกข้าราชการ อาจารย์ หลายคนในสมัยนั้น เริ่มคิดถึงชีวิตการทำงานของตนเอง ตอนอายุประมาณ 30 ปี ชึ่งถือว่าได้ผ่านการทำงานมาแล้วครึ่งชีวิต การจะอยู่ในอาชีพเดิมให้ถึง 40-50 ปี อาจจะยาวนานเกินไปสำหรับพวกเขา พวกเขารู้สึกเบื่อหน่าย ท้อถอย ไม่รู้สึกสนุกกับงานอีกต่อไป รู้สึก "หมดไฟในการทำงาน" และพวกเขาก็เห็นว่าหลายๆ องค์กรในอดีตกลับต้องล้มหายตายจากไปก่อนที่พนักงานของเขาจะเกษียณอายุ 60 ปีด้วยซ้ำไป 

ความคิดเกี่ยวกับ "เวลาอีกครึ่งชีวิตที่เหลืออยู่" จึงเกิดขึ้น 
คำตอบที่สรุปได้ คือ เขาเหล่านั้นเริ่มมองหาอาชีพที่สองซึ่งแตกต่างไปจากอาชีพเดิม โดยทำเป็นอาชีพคู่ขนานแล้วทุ่มเทและใช้เวลาทำงานในอาชีพคู่ขนานตลอดระยะเวลาที่เหลือของชีวิต  ส่วนพวกที่เคยประสบความสำเร็จในอาชีพแรกของตน เช่น พวกนักธุรกิจ แพทย์ ที่ปรึกษา หรืออาจารย์ในมหาวิทยาลัย พวกเหล่านี้ก็ยังรักในงานอาชีพแรกของตน เพียงแต่ไม่รู้สึกว่างานนั้นมีความท้าทายอีกต่อไป พวกเขาจะยังคงทนทำงานที่เดิม แต่ก็พยายามให้เวลากับมันน้อยลง แล้วหันไปเริ่มงานใหม่ ส่วนใหญ่จะเป็นงานในองค์กรที่ไม่แสวงหากำไร หรือไม่ก็เป็นผู้ประกอบการสังคมสงเคราะห์ (Social Entrepreneurs) เป็นต้น 

ผมก็รู้สึกเช่นนั้น 
ตอนนี้ผมเหลือเวลาอีก 9 ปี จะเกษียณอายุราชการ ผมก็รู้สึกว่าอาชีพนี้ มันไม่ท้าทายผมอีกต่อไป ผมมองเห็นภาพตัวผมได้ดีตอนที่ผมเกษียณ เพราะผมมองเห็นคนเกษียณมาทุกปี ยิ่งระบบราชการในสมัยนี้ มันทำให้ผมรู้สึกหมดไฟในการทำงานจริงๆ  นี่กระมังที่ ท่านปีเตอร์ เอฟ ดรัคเกอร์ ได้เขียนเอาไว้หลายสิบปีที่แล้ว 

ปัจจุบันในสังคมไทย ครูหลายคน ทหารหลายนาย ข้าราชการหลายคน เมื่อลูกเต้าเรียนหนังสือจบ หางานทำได้ บำนาญหรือเงินกองทุนสะสมก็มีเพียงพอที่จะเลี้ยงชีวิต จึงเริ่มลาออกก่อนถึงเวลาที่จะเกษียณอายุราชการ  ผมรู้ว่า เขาลาออกไปเพื่อจะค้นหาชีวิตของตนเองให้เจอ แล้วอยู่กับมันให้มากที่สุดในช่วงเวลาที่เหลือของชีวิต 

ตอนนี้ผมคงต้องเริ่มเตรียมตัวมองหางานอะไรสักอย่าง ที่จะทำให้ผมใช้เวลาที่เหลือของชีวิตกับมันได้มากขึ้น ชอบมัน และมีความสุขกับมัน แต่ลูกๆ ยังเรียนกันไม่จบเลย เห็นคงจะต้องรออีกสักพัก ผมจึงจะสามารถออกไปค้นหาตัวเองให้เจอ 

ชีวิตที่เหลือ ผมอยากจะใช้ชีวิตของผมมากกว่าจะต้องหาเลี้ยงชีวิตไปจนแก่ชรา เพราะตอนนี้ก็เกินครึ่งชีวิตมาแล้ว จึงต้องรีบใช้มันซะ 


*************************
ชาติชาย คเชนชล : 28 มิ.ย.2555

ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์สู่ชนบท ปีที่ 23 ฉบับ 398 ประจำเดือนกรกฎาคม พ.ศ.2555 หน้า 3

วันอังคารที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2555

The Frogs and their Desired King Story (กบเลือกนาย)

มีเพื่อนผมส่งต่ออีเมลมาให้ เกี่ยวกับบทกลอน "กบเลือกนาย"  แต่งโดยผู้ที่ใช้นามว่า "คนแม่สอด" ลองอ่านดูนะครับ  อาจใช้เตือนสติ..พวกไร้ปัญญาได้บ้าง หากจะให้ได้รสชาติมากขึ้น ต้องชมนิทานประกอบไปด้วยครับ (เหตุที่เอานิทานภาษาฝรั่งมา ก็เพราะเราจะเป็นประชาคมอาเชี่ยนน่ะครับ จึงต้องฝึกฟังภาษาอังกฤษเอาไว้บ้าง)




กบเลือกนายได้กระสา ชีวาวอด
กระสาตอดทีละตัวจนทั่วถ้วน
เพราะกบนึกว่ากระสาจะอาทร
ดีกว่าขอนลอยน้ำน่ารำคาญ

แต่แล้วกบก็ประสบเคราะห์กรรมหนัก
กว่าประจักษ์ว่ากระสานั้นสังหาร
กินกบหมดสระน้อยไม่เนิ่นนาน
ตัวสุดท้ายวายปราณ...ว่าผิดไป

เหมือน "ประชาเลือกนายได้กระสือ"
มันแย่งยื้อผลประโยชน์กันยกใหญ่
เอาเงินรัฐจัดแบ่งให้ใครใคร
ล้วนแต่พวกมันได้คนเสื้อแดง

คนสั่งเผากรุงเทพฯ ยังเสพสุข
คนที่บุกเวียงวังยังกำแหง
คนที่ตายได้เงินจนเกินแพง
คนที่แต่งตัวฉายเป็นนายคน


ถึงตอนนี้คนไทยก็คล้ายกบ
ต้องประสบคนใจผีแทบปี้ป่น
ออกกฎหมายช่วยพวกพ้องพี่น้องตน
แฝงเล่ห์กลช่วยคนอยู่ที่ "ดูไบ"


ประชาชนส่วนใหญ่ไม่เอาด้วย
เว้น ส.ส.ห่วยห่วยช่วยกันใหญ่
อย่าหวังให้ใครช่วยอำนวยชัย
นอกจากไทยช่วยไทย.....ไล่มันครับ

คนแม่สอด


**********************************

วันอาทิตย์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2555

นักดำน้ำสากลของ สปภ.กรุงเทพมหานคร

ตลอดระยะเวลาเกือบ 2 เดือน (30 เม.ย.-24 มิ.ย.2555)  ที่ผมและครูฝึก (Engineer Divers Team) ได้รับมอบหมายจากกรมการทหารช่าง ให้ฝึกเจ้าหน้าที่สถานีดับเพลิงและกู้ภัยของกรุงเทพมหานคร จำนวน 4 รุ่น  เพื่อให้สามารถดำน้ำกู้ภัยและค้นหาทางน้ำได้  ตาม "โครงการฝึกอบรมการช่วยเหลือ บรรเทา กู้ภัย และค้นหาทางน้ำ"  ของสำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (สปภ.) กรุงเทพมหานคร  วันนี้เสร็จสิ้นภารกิจแล้ว หลังจากที่ชีพจรลงเท้า ตะลอนเดินทางขึ้นล่องระหว่างราชบุรี ชลบุรี และกาญจนบุรี มาตลอดสองเดือน

นักดำน้ำสากลของ สปภ.กรุงเทพมหานคร 
ผมดีใจที่มี "ผู้ใหญ่ใจดีของกรุงเทพมหานคร"  ริเริ่มโครงการนี้ขึ้น  ทำให้ ณ วันนี้ สปภ.กทม. มีเจ้าหน้าที่ที่เป็นนักดำน้ำสากลระดับ Open Water Diver ของสถาบัน PADI (Professional Association of Diving Instructors) จำนวนมาก ถึง 65 คน ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าเป็นหน่วยงานราชการของไทยที่มีนักดำน้ำสากลมากที่สุด นักดำน้ำเหล่านี้กระจัดกระจายกันอยู่ตามสถานีดับเพลิงและกู้ภัยต่างๆ  ในกรุงเทพมหานคร ดังนี้
ดูรายละเอียด
  • สถานีดับเพลิงและกู้ภัยดุสิต จำนวน 6 คน
  • สถานีดับเพลิงและกู้ภัยคลองเตย จำนวน 5 คน
  • กองวิชาการและแผนงาน จำนวน 5 คน
  • สถานีดับเพลิงและกู้ภัยบางโพ จำนวน 4 คน
  • สถานีดับเพลิงและกู้ภัยลาดพร้าว จำนวน 4 คน
  • สถานีดับเพลิงและกู้ภัยดาวคะนอง จำนวน 4 คน
  • สถานีดับเพลิงและกู้ภัยบางกะปิ จำนวน 3 คน
  • สถานีดับเพลิงและกู้ภัยพญาไท จำนวน 3 คน
  • สถานีดับเพลิงและกู้ภัยปากคลองสาน จำนวน 3 คน
  • สถานีดับเพลิงและกู้ภัยลาดกระบัง จำนวน 3 คน
  • สถานีดับเพลิงและกู้ภัยบางขุนนนท์ จำนวน 2 คน
  • สถานีดับเพลิงและกู้ภัยยานนาวา จำนวน 2 คน
  • สถานีดับเพลิงและกู้ภัยสามเสน จำนวน 2 คน
  • สถานีดับเพลิงและกู้ภัยบวรมงคล จำนวน 2 คน
  • สถานีดับเพลิงและกู้ภัยถนนจันทร์ จำนวน 2 คน
  • สถานีดับเพลิงและกู้ภัยทุ่งมหาเมฆ จำนวน 2 คน
  • สถานีดับเพลิงและกู้ภัยพระโขนง จำนวน 2 คน
  • สถานีดับเพลิงและกู้ภัยห้วยขวาง จำนวน  2 คน
  • สถานีดับเพลิงและกู้ภัยหัวหมาก จำนวน 2 คน
  • สถานีดับเพลิงและกู้ภัยตลิ่งชัน จำนวน 1 คน
  • สถานีดับเพลิงและกู้ภัยบ่อนไก่ จำนวน 1 คน
  • สถานีดับเพลิงและกู้ภัยบางรัก จำนวน 1 คน
  • สถานีดับเพลิงและกู้ภัยลาดยาว จำนวน 1 คน
  • สถานีดับเพลิงและกู้ภัยบรรทัดทอง จำนวน 1 คน
  • สถานีดับเพลิงและกู้ภัยบางขุนเทียน จำนวน 1 คน
  • สถานีดับเพลิงและกู้ภัยตลาดพลู จำนวน 1 คน 

เติมเกือบเต็ม
ระยะเวลาการฝึกของแต่ละรุ่น ทาง สปภ.กทม.กำหนดไว้จำนวน 10 วัน ซึ่งผมได้แบ่งออกเป็นภาคทฤษฎีและปฏิบัติในสระ 4 วัน (ราชบุรี) ภาคทะเล 3 วัน (จ.ชลบุรี) และภาคน้ำจืดอีก 3 วัน (จ.กาญจนบุรี)  เจ้าหน้าที่เหล่านี้ นอกจากจะจบหลักสูตรดำน้ำสากลระดับ Open Water Diver แล้ว ผมได้เติม Adventure Dive บางส่วนของระดับ "Advanced Open Water Diver"  ให้ไปด้วยได้แก่  Deep Dive, UW Navigation Dive และ Search and Recovery  Dive  และในภาคน้ำจืด ได้สอนการนำผู้หมดสติใต้น้ำขึ้นสู่ผิวน้ำ การช่วยหายใจบนผิวน้ำระหว่างพากลับเข้าฝั่ง ซึ่งเป็นบางส่วนของการเรียนดำน้ำระดับ   "Rescue Diver" นอกจากนั้นยังสอนรูปแบบการค้นหาใต้น้ำ (Search Pattern) แบบต่างๆ ในน้ำที่มีกระแสและจำกัดการมองเห็น  และทุกคนล้วนได้ดำน้ำสัมผัสกับกระแสน้ำอันเชี่ยวกรากของแม่น้ำแควใหญ่จนอ่อนเปลี้ยเพลียแรงกันทุกคน 


ความรู้ที่ผมเพิ่มเติมให้ไปนั้น มุ่งหวังให้เจ้าหน้าที่เหล่านี้  สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติงานกู้ภัยทางน้ำได้จริง  อันจะเป็นการช่วยบรรเทาความสูญเสียที่จะเกิดขึ้นกับประชาชนในเขตกรุงเทพมหานครต่อไป 


น่าเสียดายที่เวลามีเพียงเท่านั้น หากมีเวลาและงบประมาณให้อีกสัก 2-3  วัน เจ้าหน้าที่เหล่านี้ จะสามารถยกระดับขึ้นเป็นนักดำน้ำสากลระดับ Advanced Open Water Diver ได้เลยทีเดียว


แต่แค่นี้ก็นับว่าเป็นนิมิตหมายที่ดีแล้ว เพราะในกรุงเทพมหานคร มีแม่น้ำเจ้าพระยา และคลองต่างๆ จำนวนมาก อุบัติภัยทางน้ำมีแนวโน้มจะเกิดขึ้นบ่อยครั้ง  วันนี้ กรุงเทพมหานคร จึงได้เล็งเห็นถึงความสำคัญในการยกระดับการกู้ภัยทางน้ำให้เป็นสากล โดยเริ่มแรกคือ "การพัฒนาขีดความสามารถของบุคลากรให้เป็นระดับสากลเสียก่อน" 


สปภ.กทม. นี้อาจจะเป็นตัวอย่างให้กับเทศบาล หรือ อบต.ที่มีพื้นที่ติดทะเล หรือติดแม่น้ำ ในการพัฒนาบุคลากรของตนเองในการกู้ภัยทางน้ำก็เป็นได้


อย่าทิ้งการดำน้ำ
ผมเคยบอกลูกศิษย์เสมอว่า "เมื่อเราดำน้ำเป็นแล้ว อย่าทิ้งการดำน้ำ" แต่หลายคนก็ทิ้งมันไป อาจเป็นเพราะปัจจัยเรื่องเงิน เวลา และภาระงาน ดังนั้นนักดำน้ำสากลของ สปภ.กทม.จำนวน 65 คนนี้ ผมไม่แน่ใจว่าเขาจะรักการดำน้ำต่อไปหรือไม่  เขาจะหมั่นหาเวลาไปดำน้ำในที่ต่างๆ เพื่อเพิ่มประสบการณ์ให้ตัวเองหรือไม่  หรือเขาจะเรียนดำน้ำต่อในระดับที่สูงขึ้นหรือไม่ 


คนอื่นๆ  อาจใช้เงินของตัวเองเพื่อเรียนดำน้ำ แต่  เจ้าหน้าที่ สปภ.กทม. รัฐเป็นคนออกค่าใช้จ่ายและลงทุนให้  ผมเสียดายงบประมาณเหล่านั้น หากคนทั้ง 65 คนนี้ทิ้งการดำน้ำไปกันจนหมด  ดังนั้น "ผู้บริหารและผู้ที่เกี่ยวข้องของ กทม." คงจะต้องหาวิธีการใดๆ ก็ตามที่จะกระตุ้นให้คนเหล่านี้ ได้พัฒนาทักษะการดำน้ำของตนเองอยู่เสมอ  และส่งเสริมให้เขาได้เรียนดำน้ำต่อในระดับที่สูงขึ้น จนถึง  "Rescue Diver" ซึ่งจะถือว่าเป็นนักดำน้ำที่สามารถช่วยเหลือและกู้ภัยได้อย่างมืออาชีพจริงๆ 


*************************************
ชาติชาย คเชนชล : 24 มิ.ย.2555


วันจันทร์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ป้ายสำหรับรัฐบาลยิ่งลักษณ์ฯ และลิ่วล้อโง่ๆ

ตามที่ รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร  นายกรัฐมนตรี ได้กำหนดจัดให้มีการประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจรขึ้นระหว่างวันที่ 17-19 มิ.ย.2555 ที่ จ.ชลบุรี นั้น  เผอิญเมื่อวันที่ 17 มิ.ย.2555 ผมได้มีโอกาสเดินทางไป อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี โดยใช้เส้นทางมอเตอร์เวย์จากกรุงเทพฯ พอถึงชลบุรี เดินทางต่อไปพัทยา โดยใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 7  ผมเห็นป้ายบอกเส้นทางการประชุม ครม.สัญจร ไปตลอด ไม่รู้ว่าจำนวนกี่ป้ายต่อกี่ป้าย แถมเป็นป้ายแบบมาตรฐานอีกด้วย คงใช้เงินค่าทำป้ายจำนวนหลายสตางค์เลยทีเดียว



ผมไม่ทราบว่าใครเป็นคนคิดเรื่องป้ายบอกทางนี้ แต่ผมรู้สึกว่าเสียดายเงินงบประมาณที่ใช้จัดทำ ผมสนทนากับเพื่อนที่เดินทางไปด้วยกันว่า  ไอ้ป้ายบอกทางไปประชุม ครม.สัญจร ที่ จ.ชลบุรี จัดทำขึ้นนี้ มันทำให้รู้สึกไปได้ว่า
  1. นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี ของประเทศไทยนี้  มันคงโง่เต็มที่ แค่ จ.ชลบุรี คุณยังไปไม่ถูก คนขับรถคุณก็มี รถตำรวจนำทางก็มี  แผนที่คุณก็ได้รับแจก  แถมในรถยังมี GPS นำทางอีก ผมเป็นคนปกติธรรมดายังไปถูกเลย
  2. หากคณะรัฐมนตรีไม่โง่ตามที่กล่าวมาในข้อ 1 ก็แสดงว่า  ท่านผู้ว่าราชการ จ.ชลบุรี ท่านนายก อบจ. นายก อบต. ของ จ.ชลบุรี  คงคิดว่าพวกนายกฯ และคณะรัฐมนตรีชุดนี้ มันคงโง่หนักหนา หากไม่ทำป้ายบอกเส้นทางเดี๋ยวท่านนายกฯ และคณะรัฐมนตรีจะมาจังหวัดเราไม่ถูก
  3. หากไม่ใช่ทั้ง 2 ข้อ ก็แสดงว่า "พวก ผู้บริหาร จ.ชลบุรี ตั้งใจละลายงบประมาณแผ่นดิน" แถมยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว เพราะจะได้ดูเหมือนการต้อนรับขับสู้ นายกรัฐมนตรี และ ครม. อย่างยิ่งใหญ่อลังการ (นี่ยังไม่ร่วมป้ายคัดเอ้าท์ต้อนรับขนาดใหญ่อีกหลายป้ายนะครับ) 

ป้ายสำหรับรัฐบาลและลิ่วล้อโง่ๆ 
งบประมาณที่คุณใช้จัดประชุม ครม.สัญจร นี้ มันเป็นงบประมาณแผ่นดินนะครับ อย่างน้อยอาจจะเป็นเงินภาษีของผมคนหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นภาษีโดยทางตรงหรือทางอ้อม  แล้ว ป้ายโง่ๆ ที่บอกเส้นทางไปไประชุม ครม.สัญจร นี้ มันใช้เงินสักเท่าไหร่ อย่างน้อยค่าป้ายรวมค่าติดตั้งก็ประมาณป้ายละ 6,000 บาท จำนวนไม่ต่ำกว่า 30 ป้าย (เฉพาะทางหลวงหมายเลข 7 จากชลบุรีไปพัทยา นะครับ) รวมก็เป็นเงินประมาณ 180,000 บาท หากรวมป้ายที่ติดบริเวณเกาะกลางถนน อาจอีกสักประมาณ 20,000 บาท  ก็เป็นเงินตั้ง  200,000 บาท

เสร็จสิ้นการประชุมแล้ว  "ป้ายเหล่านี้ก็ไร้ประโยชน์"  พวกท่านคิดกันได้อย่างไร

ประเทศไทยเราไม่ได้ร่ำรวย 
ตอนนี้ก็ยิ่งเป็นหนี้ต่างชาติอยู่มาก
ความพอดี พอประมาณ ท่านลืมไปแล้วหรือ
ที่พวกท่านพร่ำบ่นว่า "รักพ่อ"  แล้วสิ่งที่พ่อสอน
ทำไมท่านถึงไม่ทำ "เศรษฐกิจพอเพียง"



****************************
จุฑาคเชน : 18 มิ.ย.2555
        

วันอังคารที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ตารางโง่ๆ ของ สพป.ราชบุรีเขต 1

เพื่อนครูเล่าให้ผมฟังเรื่อง สพป.ราชบุรี เขต 1 ได้จัดเรียงอันดับคะแนนเฉลี่ย O-NET ป.6 และ ม.3 ปีการศึกษา 2554 ของโรงเรียนในสังกัดทั้งหมด   ซึ่งผลที่เกิดขึ้น ทำให้ท่านผู้อำนวยการและครู ในโรงเรียนชื่อดังฯ หลายโรงเรียนรู้สึกเครียด แถมชื่อเสียงของโรงเรียนที่สั่งสมมานาน กลับถูกทำลายเพียงชั่วพริบตา ด้วยตารางการจัดอันดับ O-NET โง่ๆ  เพียง 2 ตาราง     

ที่มาของภาพ
http://www.skm21.org/
view.php?article_id=498
ผมได้เข้าไปสืบค้นรายงานการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน (O-NET) ปีการศึกษา 2554 ของนักเรียนชั้น ป. 6 และ ม.3 ของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาราชบุรี เขต 1  ซึ่งจัดทำโดยกลุ่มนิเทศติดตามและประเมินผลการจัดการศึกษา จึงได้พบตารางการจัดอันดับ O-NET ตามที่ว่าจริงๆ ซึ่งผมเห็นด้วยว่า "ตารางนี้ คือตารางที่จัดทำขึ้นเพื่อการทำลายการศึกษามากกว่าจะพัฒนาการศึกษา"  

คิดได้อย่างไร
ตาราง 2 ตารางที่ว่านี้ อยู่ในบทที่ 3 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่

ตารางที่ 12 ผลสัมฤทธิ์ของนักเรียนจากการทดสอบระดับชาติขั้นพื้นฐาน  ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ปีการศึกษา 2554 เรียงลำดับตามคะแนนเฉลี่ย 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้  โดยเรียงจากมากไปหาน้อย ซึ่งมีโรงเรียนที่ถูกจัดเรียงลำดับทั้งสิ้น 186 โรงเรียน ยกตัวอย่างที่สำคัญ เช่น

  • ลำดับ 1 โรงเรียนบ้านโป่ง 
  • ลำดับ 31 โรงเรียนดรุณาวิเทศศึกษา (เอกชน)
  • ลำดับ 46 โรงเรียนนารีวิทยา (เอกชน)
  • ลำดับที่ 70 โรงเรียนอนุบาลราชบุรี 
  • ลำดับที่ 109 โรงเรียนดรุณาราชบุรี (เอกชน)
  • ลำดับที่ 121 โรงเรียนวัดเขาวัง (แสง ช่วงสุวนิช)
  • ลำดับสุดท้าย 186 โรงเรียนบ้านลำพระ


ตารางที่ 24  ผลสัมฤทธิ์ของนักเรียนจากการทดสอบระดับชาติขั้นพื้นฐาน  ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ปีการศึกษา 2554 เรียงลำดับตามคะแนนเฉลี่ย 8 กลุ่มสาระการเรียนรู้  โดยเรียงจากมากไปหาน้อย ซึ่งมีโรงเรียนที่ถูกจัดเรียงลำดับทั้งสิ้น 29 โรงเรียน ยกตัวอย่างที่สำคัญ  เช่น 
  • ลำดับที่ 1 โรงเรียนวัดป่าไก่
  • ลำดับที่ 20 โรงเรียนบ้านโป่งกระทิงบน
  • ลำดับที่ 22  โรงเรียนวัดเขาวัง (แสง ช่วงสุวนิช)
  • ลำดับที่ 23 โรงเรียนวัดดอนตลุง
  • ลำดับสุดท้าย  29 โรงเรียนบ้านลำพระ

การวิเคราะห์ตารางทั้ง 2 นี้ ผู้จัดทำตารางฯ  ได้เอาคะแนนเฉลี่ยแต่ละกลุ่มสาระของแต่ละโรงเรียนมารวมกันแล้วหารด้วย 8  จึงได้ออกมาเป็นค่าเฉลี่ย แล้วนำมาเรียงลำดับจากมากไปหาน้อย 

ซึ่งไม่ทราบว่า ผู้จัดทำต้องการผลการจัดอันดับ O-NET  นี้ไปใช้ทำอะไร 
จะใช้วัดว่าโรงเรียนไหนมีผลสัมฤทธิ์ของนักเรียนมากกว่ากันหรือ? 

หากประสงค์เช่นนั้น  ผมเห็นว่าน่าจะไม่ถูกต้อง เพราะผิดด้วยหลักวิชาการ  เนื่องจากขาดข้อเท็จจริงบางประการ เพราะคะแนนเฉลี่ยกลุ่มสาระของแต่ละโรงเรียนนั้น   จะมีค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ที่แตกต่างกันไป  การนำเฉพาะคะแนนเฉลี่ยอย่างเดียวมาคิดคำนวณ  จึงไม่ใช้ข้อเท็จจริงที่จะบ่งบอกถึงผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่แท้จริง ยกตัวอย่างเช่น 
  • โรงเรียน ก. มีเด็ก 2 คน คนหนึ่งได้ 80 คะแนน อีกคนหนึ่งได้ 20 คะแนน ค่าคะแนนเฉลี่ยก็คือ  50 คะแนน ( 80+20/2)
  • โรงเรียน ข. มีเด็ก 2 คน คนหนึ่งได้ 40 คะแนน อีกคนหนึ่งได้ 60 คะแนน ค่าคะแนนเฉลี่ยก็คือ 50 คะแนน (40+60/2) เช่นกัน
  • โรงเรียน ค. มีเด็ก 5 คน ทุกคนได้คะแนน 50  คะแนน ค่าคะแนนเฉลี่ยก็คือ 50 คะแนน (50+50+50+50+50/5) เช่นกัน
จากตัวอย่างนี้  โรงเรียนทั้ง 3 แห่งได้คะแนนเฉลี่ย 50 คะแนนเท่ากัน แต่หากดูค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ของทั้ง 3 โรงเรียนจะมีความแตกต่างกัน อย่างนี้ 
"ท่านบอกได้หรือไม่ว่าโรงเรียนไหนมีผลสัมฤทธิ์ของนักเรียนมากกว่ากัน"

สพป.ราชบุรีเขต 1 จัดอันดับ O-NET เพื่ออะไร? 
ตารางจัดอันดับ O-NET นี้ ไม่ควรจัดทำมาตั้งแต่แรกแล้ว  เพราะไม่มีประโยชน์และผิดหลักวิชาการ   รังแต่จะทำให้หลายคนหลายฝ่ายไม่สบายใจมากกว่า  ผู้อำนวยการและครูหลายโรงเรียนที่ตั้งใจทำงาน อาจจะถึงกับท้อแท้  เพราะตารางโง่ๆ ทั้ง 2 ตารางนี้  และหากผู้บังคับบัญชา เอาตารางการจัดอันดับ O-NET ไปพิจารณาความดีความชอบด้วยแล้วนับว่าผิดมหันต์ เพราะเหตุผลง่ายๆ ก็คือ
  1. องค์ประกอบและบริบทของแต่ละโรงเรียนแตกต่างกัน
  2. จำนวนนักเรียนที่แตกต่างกัน (บางโรงเรียนแต่ละชั้นมีแค่  4-5 คน แต่บางโรงเรียนแต่ละชั้นอาจมีถึง 300-400 คน)
  3. สติปัญญาของมนุษย์ที่มีความแตกต่างกัน 

วัตถุดิบที่แตกต่างกัน
ถึงแม้จะมีกระบวนการผลิตที่เหมือนกัน
ผลผลิตที่ได้ย่อมแตกต่างกัน


*********************************

ชาติชาย คเชนชล : 12 มิ.ย.2555


ที่มาข้อมูล https://sites.google.com/site/superrb1/rayngan-phl-sxb-o-net  

วันอาทิตย์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ประเทศไทย...วันนี้ ไม่มีใครเชื่อใคร


ช่วงเดือนกว่าๆ มานี้ ผมไม่ค่อยมีเวลาติดตามข่าวสารบ้านเมืองแบบเจาะลึกมากนัก ดูผ่านๆ แบบพอรู้ เพราะติดภารกิจสำคัญในการสอนคนอย่างต่อเนื่อง เวลาว่างไม่พอให้เข้าถึงข่าวสารข้อมูล  แต่ผมก็มีความรู้สึกว่านักการเมืองกับผู้หลักผู้ใหญ่ในประเทศไทย บ้านของเรานี้ ทำไมชอบสร้างเรื่องราวให้วุ่นวายกันเสียเหลือเกิน

ที่มาของภาพ INNNEWS
เริ่มตั้งแต่รัฐบาลจะพยายามจะประชุมสภาในวาระ 3 เพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ และพยายามผลักดัน พ.ร.บ.ปรองดอง เข้าสภา จนกระทั่งมวลชนพันธมิตรและประชาชนอีกหลายกลุ่มต้องออกมาปิดล้อมรัฐสภา จนรัฐบาลต้องยอมเลื่อนการประชุม ศาลรัฐธรรมนูญก็สั่งให้รัฐสภาชะลอการประชุมแก้ไขรัฐธรรมนูญไปก่อน เพื่อรอคำวินิจฉัยว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ ตามที่มีผู้ยื่นคำร้องมา แต่ท่าทีทางพรรคเพื่อไทย ผู้ซึ่งกุมเสียงข้างมากในสภากำลังจะไม่เชื่อศาลรัฐธรรมนูญ ตะแบงจะประชุมกันให้ได้ แถมอัยการสูงสุดยังออกมาเข้าข้างรัฐบาล แถลงว่าศาลรัฐธรรมนูญไม่มีสิทธิ์สั่งชะลอการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพราะอัยการเองไม่ได้ยื่นคำร้องต่อศาล   ส่วนนักวิชาการและนักกฏหมายชื่อดังทั้งหลาย ก็ออกมาแสดงความเห็น แบบที่คนธรรมดาสามัญชนอย่างผมก็พอเข้าใจได้ว่า..เป็นพวกเห็บที่เห็นว่าสุนัขตัวไหนกำลังอ้วนและได้เปรียบ พวกฯ เหล่านี้ก็จะรีบไปเกาะ โดยไม่คำนึงถึงจรรยาบรรณในวิชาชีพของตัวเอง

แล้วมันจะเป็นอย่างไรกันต่อไปละครับ..ท่านผู้ทรงเกียรติทั้งหลาย

แก้ไขรัฐธรรมนูญสำเร็จแล้ว
คนไทยจะเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง  ทุกคนจะมีความรักชาติ ศาสนา เทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ยิ่งชีวิต ข้าวปลาอาหาร และน้ำมันจะถูกลง การคอรัปชั่นจะหมดไป เด็กนักเรียนจะไม่ต้องมาอดข้าวประท้วงเพื่อให้ได้ที่นั่งเรียน ยาบ้า ยาไอซ์ ยาอี จะหมดไปจากประเทศไทย คดีอาชญากรรม เข่นฆ่ารายวันจะลดลง เกษตรกรและผู้ใช้แรงงานจะไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบจากนายทุน เศรษฐกิจของประเทศไทยจะดีขึ้น คนไทยจะเป็นเจ้าของเศรษฐกิจเอง ไม่ใช่แค่ "ขี้ข้าทางเศรษฐกิจ"

และหาก พ.ร.บ.ปรองดองผ่านสภาแล้ว
คนไทยจะไม่แบ่งเป็นฝักเป็นฝ่ายอีก จะไม่มีคนของข้าหรือคนของเอ็ง คนไทยจะรักและสามัคคีกัน รวมกันปกป้องผลประโยชน์ของประเทศชาติ  ช่วยกันนำพาประเทศไทยสู่ความวัฒนาถาวร 

มันเป็นไปได้หรือครับ ผมไม่อยากให้ละเมอเพ้อพกกันไปเอง ประเทศไทยยังมีเรื่องเร่งด่วนให้ทำมากกว่านี้ตั้งหลายเรื่อง

ประเทศไทย...วันนี้ ไม่มีใครเชื่อใคร
ผมเคยกล่าวกับเพื่อนฝูง เวลาตั้งวงสนทนากันเสมอว่า "สักวันหนึ่งประเทศไทยจะไม่มีใครเชื่อใคร พอถึงจุดๆ หนึ่งประเทศไทยจะสูญเสียเอกราชทางเศรษฐกิจให้สังคมโลก" อย่างตัวอย่างประเทศในยุโรปที่เห็นกันอยู่ปัจจุบันนี้ และประเทศไทยของเราในวันนี้ ก็เห็นว่าได้ส่อเค้าลางให้เห็นแล้ว หนี้เงินกู้ล้นพ้นตัว จะใช้หนี้อีกกี่รัฐบาลถึงจะหมด เหตุผล ความถูกต้อง และความดีงาม ใช้ไม่ได้แล้วในสังคมไทย อำนาจบริหาร อำนาจนิติบัญญัติ และอำนาจตุลาการ ต่างกำลังไม่ยอมกันและไม่สามารถคานอำนาจกันได้  ตามที่คิดเอาไว้อย่างสวยหรูในอุดมคติ

เหตุเพราะกิเลสของคนมันหนา เพียงอยากได้ อยากมี อย่างเป็น มันก็ทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มา โดยไม่คำนึงถึงหลักแห่งความชอบธรรม หลักแห่งความมีคุณธรรมแต่อย่างใด

นักการเมืองชั่วช้า               กินเมือง
โกงชาติโกรธเคืองแค้น      ยิ่งล้น
ปรวงราษฎร์ร่ำหมดเปลือง  ชีวิต วิญญาณ
แม้วมุ่งผลาญชาติปล้น       หม่ำสิ้นสยามสวรรค์ ฯ
(จาก สยามอย่าสิ้นชาติ อย่าประมาททักษิณ@ โดย อังคาร กัลยาณพงศ์)

วันนี้ในส่วนตัวแล้ว ผมรู้สึกว่าไม่มีผู้หลักผู้ใหญ่สักคนในบ้านในเมือง ที่พอจะเป็นตรรกศิลาอันแข็งแกร่งได้   ข้าราชการเกือบทุกกระทรวงทบวงกรม ทำงานเพื่อประโยชน์ของนักการเมือง เจ้านายและตัวเอง มากกว่าประโยชน์ของประชาชน สถาบันกองทัพถูกนักการเมืองแทรกแซงกัดกินจนผุก่อน นักการเมืองท้องถิ่นจำนวนมากมายไร้ทั้งความรู้และความสามารถ ส่วนใหญ่เป็นแค่นายหน้าสัมปทานอำนาจของนักการเมืองระดับชาติ ประชาชนคนไทยส่วนใหญ่คำนึงถึงแต่ผลประโยชน์เฉพาะหน้าของตัวเอง มากกว่าผลประโยชน์โดยส่วนรวมของประเทศชาติ

เหตุการณ์ที่วุ่นวายอยู่ในสภาและนอกสภาขณะนี้ เพราะไม่มีใครเชื่อใครอีกแล้ว
เพราะทุกคนมีความเชื่อที่ว่า

"ใครมีอำนาจ คนนั้นคือความถูกต้อง"

***********************
จุฑาคเชน : 10 มิ.ย.2555